หลายคนคงเจอกับปัญหานี้กันคือลดน้ำหนักจน BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ยังมีสัดส่วนเกินจำนวนมาก ลงพุง แขนขาใหญ่วันนี้เราจึงจะพาไปดูอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เรารู้ว่าต้องลดไขมันแค่ไหนถึงจะเหมาะสม และถ้าอยากหุ่นดีแบบสุขภาพดี จะต้องมีไขมันกี่เปอร์เซ็นต์ ไปดูกันเลย
Body Fat Percent คืออะไร
Body Fat Percent หรือ Body Fat Percentage คือสัดส่วนของไขมันในร่างกายของเรา (ทั้งไขมันจำเป็นและไขมันส่วนเกิน) ซึ่งจะคิดเป็นร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับน้ำหนักร่างกาย เช่น หากเราหนัก 50 กิโลกรัม และมีปริมาณไขมันในร่างกายหนัก 10 กิโลกรัม ก็แสดงว่ามีไขมันในร่างกาย หรือ Body Fat Percent 20% นั่นเอง
ถามว่า Body Fat Percent ในคนที่มีรูปร่างหรือหุ่นใกล้เคียงกัน จำเป็นต้องมีปริมาณไขมันที่ใกล้เคียงกันหรือไม่ ตอบว่า ไม่จำเป็น เพราะการออกกำลังกายและกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่แตกต่างกัน จะส่งผลให้เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายแตกต่างกันด้วย
ต้องบอกว่า กล้ามเนื้อเองก็มีน้ำหนักเช่นกัน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับไขมันที่หนักเท่ากันแล้ว จะมีขนาดเล็กกว่า ดังนั้น คนที่มี Body Fat Percent น้อย อาจจะมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าคนที่มี Body Fat Percent มากก็ได้ ตัวอย่างเช่น นักเพาะกายที่มีกล้ามเนื้อชัดเจน และมีปริมาณไขมันอยู่เพียงไม่เกิน 12% อาจมีน้ำหนักเท่ากับคนทั่วไปที่มีปริมาณไขมัน 25-30% ก็เป็นได้ เนื่องจากมีกล้ามเนื้อเข้ามาเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เพราะกล้ามเนื้อมีการเรียงตัวของเซลล์แน่นและกระชับมากกว่าไขมัน
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องพื้นฐานทางร่างกายของหญิงและชายที่มีการกระจายไขมันไปสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่เหมือนกัน เช่น ผู้หญิงมักสะสมที่สะโพกมากกว่า ในขณะที่ผู้ชายสะสมไขมันที่หน้าท้องมากกว่าผู้หญิง เป็นต้น ทำให้รูปร่างของเรามีความแตกต่างกันด้วย
Body Fat Percent สำคัญต่อการดูแลสุขภาพอย่างไร
ค่า Body Fat Percent มีความสำคัญต่อการวางแผนดูแลสุขภาพของเราได้อย่างมาก ดังนี้
-ช่วยให้เราสามารถวางแผนในการเริ่มต้นรักษารูปร่าง โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก รวมถึงปริมาณไขมันในร่างกาย
-ช่วยให้เราสามารถประเมินความเสี่ยงได้ว่า เราเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคอ้วน ไขมันอุดตัน โรคเบาหวาน หรืออาการเจ็บป่วยต่าง ๆ มากน้อยเพียงใด
-ช่วยให้เราทราบว่าเราอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่
-เป็นดัชนีที่ใช้ประเมินองค์ประกอบร่างกายและสุขภาพ เพื่อให้เราสามารถกำหนดเป้าหมายการออกกำลังกายและสามารถจัดโปรแกรมการทานอาหารให้ได้ปริมาณพลังงานและไขมันที่เหมาะสม
body fat percent ที่เหมาะสม คือ เท่าไหร่
เกณฑ์ Body Fat Percent ที่เหมาะสม คือ ชาย 13-20% และหญิง 23-30% ซึ่งอาจแตกต่างกันออกไป แต่จะมีความใกล้เคียงกัน และโดยทั่วไปปริมาณไขมันแต่ละระดับสามารถพิจารณาได้ดังนี้
ชาย 30% ขึ้นไป หญิง 40% ขึ้นไป
ปริมาณไขมันมากในระดับวิกฤต ทำให้รูปร่างอ้วนกลม มองเห็นเซลลูไลต์บนผิวหนังได้ชัดเจน และมีไขมันส่วนเกินกระจายอยู่ทุกส่วนของร่างกาย รูปร่างมองดูเป็นชั้น ๆ ชัดเจน
ชาย 21-30% หญิง 31-40%
คุณมีปริมาณไขมันส่วนเกินในร่างกาย มีรูปร่างท้วม และมีชั้นไขมันหนาหุ้มกล้ามเนื้ออยู่
ชาย 13-20% หญิง 23-30%
เป็นปริมาณไขมันตามมาตรฐานทั่วไป สุขภาพอยู่ในเกณฑ์ดี มีร่างกายสมส่วน เป็นสัดส่วนชัดเจน แม้ว่ายังไม่เห็นกล้ามเนื้อมากนัก
ชาย 9-12 % หญิง 19-22%
คุณมีปริมาณไขมันน้อย มีกล้ามเนื้อชัดเจนมากขึ้น รูปร่างกระชับสมส่วน ในผู้ชายที่ออกกำลังกายจะมีกล้ามเนื้อหน้าท้อง (Six Packs) ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ชาย 5-8% หญิง 15-18%
ปริมาณไขมันน้อยมาก เห็นกล้ามเนื้อชัดเจน รูปร่างเพรียวบาง และเป็นปริมาณไขมันที่ผู้หญิงสามารถออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อหน้าท้อง (Six Packs) ได้
ชาย น้อยกว่า 5% หญิง น้อยกว่า 15%
ปริมาณไขมันของคุณน้อยจนถึงขั้นวิกฤต รูปร่างผอมบางมากเกินไป อาจทำให้สุขภาพอ่อนแอ และเป็นอันตรายต่อระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายได้
วิธีเช็กค่า Body fat percentage
เราสามารถเช็กค่า Body fat ในร่างกายได้ว่ามีเปอร์เซ็นต์เท่าไร ยกตัวอย่างวิธีที่นิยมใช้ก็คือ
1. การวัดไขมันด้วยคาลิเปอร์ หรือคลิปหนีบวัดไขมัน (Fat Caliper) โดยนิยมวัดไขมันบริเวณช่วงอก ใต้สะบัก ต้นแขน หน้าท้อง และส่วนต้นขา
2. เครื่องชั่งน้ำหนักที่มีฟังก์ชันวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย
3. เครื่องชั่งน้ำหนักที่มีฟังก์ชันวัดองค์ประกอบในร่างกาย (Bioelectrical Impedance Analysis) ซึ่งจะวัดได้ทั้งเปอร์เซ็นต์ไขมัน มวลกล้ามเนื้อ และสารน้ำ
4. สูตรคำนวณผ่านเว็บไซต์ โดยใช้ข้อมูลเพศ อายุ น้ำหนักตัว รอบเอว รอบแขน รอบสะโพก มาหาค่า Body fat เช่น เว็บไซต์ verywellfit.com หรือเว็บไซต์ active.com
เป็นอย่างไรกันบ้างกับวิธีเช็กไขมันในร่างกายที่ทางเพจอีจันตลาดแตกนำมาฝากเพื่อน ๆ ในวันนี้เท่านี้เพื่อน ๆ ก็สามารถนำไปเป็นแนวทางการลดน้ำหนักได้ เพราะเราจะรู้ว่าต้องลดเปอร์เซ็นต์ไขมันแค่ไหนถึงจะเรียกว่าหุ่นดีแล้วค่ะ