โรคไข้หูดับ แค่จับเนื้อหมูก็อาจตายได้! เกิดจากอะไร อาการเป็นยังไง

โรคไข้หูดับ คือ โรคติดต่อจากสัตว์สู่คนชนิดหนึ่ง (Zoonotic infectious disease) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า “สเตรฟโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus Suis)” ที่อาศัยอยู่ในหมูเกือบทุกตัว เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ซึ่งเดิมทีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดโรค

เชื้อแบคทีเรียสเตรฟโตคอกคัส ซูอิส สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ 2 ทาง คือ

1.การกินเนื้อหรือเลือดของหมูดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น ลาบหมูดิบ หลู้ เนื้อหมูที่ย่างไม่สุก

2.เชื้อผ่านเข้ามาทางบาดแผล รอยถลอก เยื่อบุตา จากการสัมผัสกับเชื้อโดยตรงหรือหมูที่ติดเชื้อ

         สาเหตุที่เรียกโรคไข้หูดับนั้น เพราะอาการเด่นของโรคนี้คือการมีไข้สูง และมีภาวะสูญเสียการได้ยิน หรือหูดับนั่นเอง โดยโรคไข้หูดับนี้ ถูกพบครั้งแรกที่ประเทศเดนมาร์ก ในปี พ.ศ. 2511 หลังจากนั้นก็พบผู้ป่วยติดเชื้อนี้จํานวนเพิ่มขึ้นในอีกหลายประเทศ ซึ่งในปี พ.ศ.2548 ได้มีการระบาดของโรคไข้หูดับครั้งใหญ่ในประเทศจีน มีผู้ป่วยติดเชื้อจํานวนกว่า 215 ราย เสียชีวิต 38 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ล้วนมีประวัติการสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อ

         ในประเทศไทยเอง พบโรคนี้ครั้งแรกในปี พ.ศ.2530 จากผลการสํารวจของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ปี 2561 พบว่ามีการติดเชื้อกระจายเกือบทุกภาค โดยเฉพาะภาคเหนือ เนื่องจากมักทำอาชีพเลี้ยงหมูและทานเมนูอาหารพื้นบ้านที่เป็นของดิบ อีกทั้งโรคนี้ ยังสามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ พบอายุน้อยที่สุดคือเด็กอายุ 1 เดือน ซึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากมักจะเป็นกลุ่มดังนี้

กลุ่มเสี่ยงโรคไข้หูดับ

· ผู้ติดสุราเรื้อรัง จะทำให้ร่างกายอ่อนแอติดเชื้อได้ง่าย รวมทั้งพบว่าในขณะดื่มสุรามักชอบทานของแกล้มที่เป็นเมนูอาหารดิบ

·มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคหัวใจ

·เคยตัดม้ามออก หากติดเชื้อจะมีอาการป่วยรุนแรง เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคต่ำ

·มีอาชีพเกี่ยวกับการเลี้ยงหมู หรือต้องใกล้ชิดกับหมู ร่วมทั้งผู้ที่ทานเนื้อหมูสุก ๆ ดิบ ๆ เป็นประจำ

อาการของโรคไข้หูดับ

หลังจากที่ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อแบคทีเรียสเตรฟโตคอกคัส ซูอิส จะมีระยะฟักตัวประมาณ 1 – 14 วัน แต่จากการสำรวจมักพบว่า อาการผิดปกติจะเริ่มแสดงหลังจากรับเชื้อไม่เกิน 3 วัน โดยจะมีอาการขั้นต้นที่พบได้บ่อย ดังนี้

· มีไข้สูงเฉียบพลัน

· ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวและข้อ

· ปวดและเวียนศีรษะ รู้สึกอยากอาเจียน

· มีจ้ำเลือดตามตัวและผิวหนัง

· มีอาการซึม คอแข็ง อาจรุนแรงถึงขั้นชัก

 ซึ่งหากผู้ป่วยไม่ได้ทำการรักษา จะทำให้เชื้อแบคทีเรียนี้เข้าสู่เยื่อหุ้มสมอง ประสาทหูชั้นในทั้งสองข้าง และกระแสเลือด จนทำให้เกิดอาการที่รุนแรง  เยื่อหุ้มสมอง หัวใจ ข้อ และม่านตา เกิดการอักเสบ  เกิดหนองบริเวณปลายประสาทรับเสียง และปลายประสาททรงตัว   เกิดอาการหูตึงหรือหูดับ จนกระทั่งกลายเป็นโรคหูหนวก

อีกทั้ง หากปล่อยให้เชื้อแบคทีเรียสเตรฟโตคอกคัส ซูอิส ลุกลาม จะทำให้อาการค่อย ๆ ทวีความรุนแรง จนนำไปสู่การเสียชีวิตจากภาวะ toxic shock syndrome (ภาวะช็อกจากการได้รับพิษจากเชื้อแบคทีเรีย) และการติดเชื้อในกระแสเลือด ส่วนผู้ป่วยบางรายที่ไม่เสียชีวิตส่วนใหญ่ก็จะพบกับความพิการตามมา เช่น หูหนวก สูญเสียการทรงตัว กล้ามเนื้ออ่อนแรง อัมพฤกษ์-อัมพาต ตาบอด

วิธีป้องกัน

  โรคไข้หูดับนั้น มักมีสาเหตุมาจากการกินหรือสัมผัสกับเนื้อหมู ดังนั้นวิธีการป้องกันโรคไข้หูดับได้ดีที่สุด คือการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับหมู ทั้งผู้บริโภคและผู้ที่ทำอาชีพเกี่ยวกับหมู 

· สำหรับผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงหมู หรือทำงานใกล้ชิดกับหมู ควรสวมรองเท้าบูทยาง ถุงมือ และเสื้อที่รัดกุมระหว่างทำงาน ทำการกำจัดเชื้อในฟาร์มตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ เพื่อป้องกันไม่ให้หมูเกิดการป่วยและลามไปทั่วทั้งฟาร์ม

·  ไม่ควรกินหมูที่ป่วยหรือตายจากโรค โดยพยายามเลือกซื้อเนื้อหมูที่ไม่มีกลิ่นคาวหรือสีคล้ำ และควรเลือกซื้อเนื้อหมูจากร้านที่ผลิตจากแหล่งที่ได้มาตรฐาน ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์

·  ล้างมือก่อนและหลังสัมผัสกับหมูทุกครั้ง หากผู้ปรุงอาหารมีบาดแผลที่ผิวหนัง ต้องทำการปิดแผลให้มิดชิด และควรสวมถุงมือด้วย

·  หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้ออาหารดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ โดยเฉพาะเนื้อหมู ควรปรุงด้วยความร้อนที่อุณหภูมิตั้งแต่ 70 องศาเซลเซียส นานอย่างน้อย 10 นาที หรือปรุงสุกจนไม่มีสีแดงหรือเลือดที่ชิ้นเนื้อ

· แยกอุปกรณ์ที่ใช้หยิบเนื้อหมูสุกและดิบออกจากกัน นอกจากจะเป็นการป้องกันโรคไข้หูดับแล้วยังเป็นการป้องกันโรคโควิด-19 ได้อีกด้วย

ข้อมูลจาก กรมควบคุมโรคและโรงพยาบาลสินแพทย์