ถกประเด็น​ พระดังทำ​พิธี​ ลงนะหน้าทอง​ หลอกลวง​ ชาวบ้านหรือไม่?

ถกประเด็น​ ระหว่าง​ ​พระครูสมุห์นพดล​ เจ้าอาวาส​วัดศาลารี และ​ นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา​ จตุรงค์ จงอาษา กรณีพระสงฆ์ทำ​พิธี​ ลงนะหน้าทอง​ ถือเป็นการ​ หลอกลวง​ ชาวบ้าน และสามารถทำได้หรือไม่?

จากกรณีข่าวดังในโซเชียล​ เรื่องการทำพิธี ลงนะหน้าทอง​ เจิมหน้าผาก​ ด้วยแผ่นทองคำเปลว เขียน​ ยันต์หัวใจมหาเศรษฐี​ ลงบนฝ่ามือ​ และมีการแปะทองแบบเต็มใบหน้า​ ของ​ เจ้าอาวาส​วัดศาลารี ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี​ พระครูสมุห์นพดล ปิยธมฺโม​ ทำให้มีผู้มาต่อคิวรอเป็นจำนวนมาก​ เพราะเชื่อว่าจะเสริมสร้างสิริมงคลในชีวต

รายการโหนกระแส จึงขอสัมภาษณ์​ พระครูสมุห์นพดล ปิยธมฺโม และศิษย์เอก คุณที​ ถึงที่มาที่ไปของพิธีดังกล่าว​ เรียกว่าเป็นการ​ หลอกลวง​ ชาวบ้านได้หรือไม่ และถกเถียงว่าการทำเช่นนี้ถึงเป็นการทำผิดพระธรรมวินัยหรือเปล่า​ กับ​ อ. จตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา​ พร้อมความเห็นจากพระนักเทศน์​ชื่อดัง​ พระพยอม

คุณที คุณเป็นคนชักนำพระอาจารย์เข้าวงการ?

ที : ใช่ เป็นคนชอบ​ ลงนะหน้าทอง และสักยันต์อยู่แล้ว มีโอกาสนิมนต์ท่านมาทำพิธีที่บ้าน เนื่องจากขึ้นบ้านใหม่ ท่านมาถึงสวดเสร็จก็สอนนั่งสมาธิ

ที่วัด​ ลง​นะหน้าทอง เขียน​ ยันต์หัวใจมหาเศรษฐี เสริมดวงชะตา มหาเสน่ห์ โชคลาภ บางคนถึงขั้นบอกว่า​ ใบ้หวย​ ด้วย อาจารย์กำลังอาศัย​ ความเชื่อ​ ชาวบ้าน​ หลอกลวง หาเงินเข้าวัด เป็นเรื่องจริงไหม?

พระครูวสมุห์นพดล  : ถ้าบอกว่า​ หลอกลวง อาตมาไม่ได้​ หลอกลวง​ ใคร โยมมาขอให้เราช่วย​ เจิมหน้าผาก​ ให้หน่อย แรกๆ เลย เราก็บอกว่าเจิมทำไม จริงๆ คำว่า​ ลง​นะหน้าทอง​ เกิดขึ้นเพราะสื่อต่างๆ ระบุว่าการทำแบบนี้คือ​ นะหน้าทอง แต่จริงๆ คือเป็นการเตือนสติคนๆ นั้นเท่านั้นเอง

ยืนยันไม่ได้​ หลอกลวง​ ?

พระครูวสมุห์นพดล : ไม่ เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เลย เราไม่ได้คิดเลย แถมบอกว่าหลวงพ่อทำให้ไว้ แต่ถ้าโยมไม่มีตังค์สักบาท ไปเก็บขยะให้หลวงพ่อหน่อยสิ จะได้เกิดบุญกุศลขึ้นในใจ ไม่มีค่าใช้จ่าย

วันนี้​ สำนักงานพุทธศาสนา​ สั่งแล้วไม่ให้ทำ ให้งดทำกิจกรรม จุดเริ่มต้น เข้าสู่วงการทำ​ นะหน้าทอง มันมีที่มาที่ไปอย่างไร?

พระครูวสมุห์นพดล : จริงๆ ลูกศิษย์นิมนต์ไปทำบุญบ้าน เราสวดมนต์เพียงเล็กน้อย แล้วชวนลูกศิษย์ทำสมาธิ จริงๆ เราชอบทำสมาธินะ ลูกศิษย์กลับมาที่วัดบอกว่าเขาชอบเรื่อง​ ลง​นะหน้าทอง อาตมาไม่รู้จักหรอก เพราะไม่ดูทีวีมาเป็น 10 ปีแล้ว เขาทำอย่างไร เขาบอกว่าจิ้มแล้วเจิม อ้าว เจิมก็เจิม ยังไม่รู้เหตุผล แต่ในใจคิดว่าการ​ เจิมหน้าผาก​ คือจุดศูนย์รวมของสมาธิ เพื่อให้ทุกคนรู้จักมีสมาธิ และตั้งตนดำรงชีวิต แค่นั้นเองที่เราคิดในตอนนั้น ทีคือคนแรกที่ขอให้ช่วยเจิมหน้าผากให้หน่อย

ผ่านมากี่ปีตั้งแต่วันนั้น?

พระครูวสมุห์นพดล : ยังไม่ถึงปี

แล้วที่​ ลง​นะหน้าทอง​ เต็มหน้า ระยะเวลานานแค่ไหนที่ทำ?

พระครูวสมุห์นพดล : พอมีข่าวปั๊บก็ไปดูที่ลูกศิษย์โพสต์กัน วันที่เขาลงยังไม่ถึงเดือนเลย เริ่ม​ ลง​นะหน้าทอง​ เต็มหน้ายังไม่ถึงเดือน

วันนี้กลายเป็นทองเต็มหน้าขึ้นมาได้เพราะอะไร?

พระครูวสมุห์นพดล : ลูกศิษย์เอาทองมาให้หลวงพ่อ เขาแปะๆ เสร็จแล้วบอกให้เขียนให้หนูหน่อย ก็เขียนทำไมหนอ เขาบอกถ้าจะ​ ลงนะหน้าทอง ก็จะปิดทองให้เต็มที่ เราก็ไม่เป็นไร เขียน มะอะอุลงไปที่ใบหน้า ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แค่นั้นเอง ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับอักขระ หรือเมตตา คนละเรื่องกัน

ตอนที่ลูกศิษย์มาแล้วทองเต็มหน้า พระอาจารย์ต้องแปะทองให้ก่อนไหม?

พระครูวสมุห์นพดล : ไม่ๆ ผู้หญิงเขาแปะมาก่อน แต่นอกจากผู้ชายบางคนขอหลวงพ่อช่วยแปะให้หน่อยสิ เราก็แปะสุ่มสี่สุ่มห้าไป เหมือน​ ปิดทองหน้าพระ เราก็คิดในใจว่าใช้เราปิดทอง ประมาณนี้ เราเคยเป็นสัปเหร่อมาก่อน เราก็คิดในใจหน้าเหมือนศพเลย จะแปะอย่างไร (หัวเราะ) ครั้งแรกที่เห็นเขาแปะมา แล้วก็ไม่รู้จะเขียนอะไร ก็เอามะอุอุ พระพุทธเจ้าไปแล้วกัน ไม่มีคัมภีร์ใดๆ เราลงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย

คนแรกเป็นผู้หญิง หลังจากนั้นก็เริ่มแปะเอง?

พระครูวสมุห์นพดล : เฉพาะผู้ชายที่เขาให้แปะ เพราะปกติเราไม่แปะเอง เพราะเราไม่มีทอง ต้องให้เขาเอามากันเอง  เพราะราคาแพง จะซื้อมาให้เขียนทำไม เราคิดในใจ ไม่กล้าพูด เราก็อนุเคราะห์ตามที่เขาร้องขอมา เพราะปกติเราไม่ค่อยขัดศรัทธาของโยม​ อยากให้ทำให้ก็ทำ แต่คาถาอาคมไม่ได้ใช้อะไรมากมาย นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

คุณที อะไรดลใจให้พระอาจารย์ทำพิธี?

ที : เราเป็นคนนั่งสมาธิต้องใช้เวลา แต่ปรากฏว่านั่งกับพระอาจารย์ สมาธิเราเข้าไว เราก็คิดว่าพระอาจารย์ต้องมีของดี เราอยากขออะไรที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้กับเรา ก็นิมนต์มาทำพิธีที่บ้าน ตอนนั้นก็ถามว่าพระอาจารย์ ลง​นะหน้าทอง​ เป็นไหม พระอาจารย์ก็ถามว่าต้องทำอย่างไรเหรอ เราก็บอกเนี่ย เขาลงกันแบบนี้ๆ เราก็เปิดให้ดู พระอาจารย์ลองเจิมให้หน่อย พระอาจารย์ก็เจิมให้ เราชอบสักยันต์ แค่นี้ไม่พอ เราก็ขอเพิ่มความมั่นใจอีก ก็ถามว่ามีอะไรสักไหม ผมชอบสักมาก พระอาจารย์บอกว่าไม่มี เราก็บอกว่าเขียนให้ก็ได้ พระอาจารย์ก็เจิมให้ในมือ หลังจากนั้นก็เกิดความมั่นใจ เราไปดีลลูกค้า ลูกค้าเมตตาเรา เราไปเจอผู้หลักผู้ใหญ่เขาก็เมตตาเรา เราเลยคิดว่ามันสร้างกำลังใจให้กับเรา เราเลยชวนเพื่อนมาเรื่อยๆ คนก็เริ่มมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ

แต่ละวันคนไปเข้าแถวต่อคิวเป็นร้อย?

พระครูวสมุห์นพดล : ไหลมาเรื่อยๆ ทั้งวัน ก็อยู่ที่ประมาณร้อยขึ้น ร้อยต้นๆ

ตอนคุณทีบอกพระอาจารย์ ขั้นตอนพิธีการเอามาจากไหน?

ที : จริงๆ เราชอบเรื่อง​ นะหน้าทอง ก็เสิร์ชทางอินเตอร์เน็ตนี่แหละ เราก็เห็นพระอะไรที่ขึ้นมา เราก็ไปหาหมอเลย เราเป็นคนขาดความมั่นใจ ก็ไปหาเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ

เสิร์ชให้พระอาจารย์ดู แล้วให้พระอาจารย์ทำตาม?

ที : เราเห็นเขาลงที่หน้าผาก ก็ให้พระอาจารย์เจิมที่หน้าผาก อย่างนั้นเลย

จนวันนี้คนแน่น เชื่อกันตลอด คิดว่าเป็นเพราะอะไร?

ที : คนอื่นผมไม่ทราบแต่สำหรับผมเอง ผมเจิมแล้วมีความมั่นใจทุกครั้งที่ไปเจอลูกค้า มีความมั่นใจที่เจอนายทุน มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นเยอะ บางครั้งเรามีสมาธิ หรือจากเราเพ่งทอง แล้วก็ขอ อาจเกิดจากสมาธิจากจุดๆ นั้น ทำให้เรามีความมั่นใจเกิดขึ้น

คนอาจมองว่าเป็นแผนการตลาดหรือเปล่า สร้างธีมกันขึ้นมา จากเดิมแปะทองอันหนึ่ง เป็นการแปะทั้งหน้า เพื่อให้คนหลั่งไหลกันมา?

พระครูวสมุห์นพดล : อาตมาไม่ได้คิดเรื่องปัจจัยอะไรต่างๆ หรือคนเข้ามา เราไม่ได้สนใจเลย ตั้งแต่แรก สนใจแต่สิ่งที่เขามาขอให้ช่วยหรือทำ ลูกศิษย์นำทองมาเต็มหน้าให้เราเขียน เราก็งงนะ แต่เราก็เขียนไปตามนั้น เราไม่ดูทีวีมาเป็นสิบปี

มุมคุณทีคนอาจมองว่าเราเป็นขบวนการหรือเปล่า สร้างสตอรี่ขึ้นมา จนคนหลั่งไหลมาขนาดนี้?

ที : ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับวัด แล้วจะให้ผมมาทำการตลาดให้วัด ผมจะทำเพื่ออะไร ที่ผมเข้ามาเพราะผมต้องการเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ จริงๆ ไม่ต้องมาหาพระอาจารย์ ก็มีที่​ ลง​นะหน้าทอง​ ที่อื่นมากมาย ตอนนี้อาจเป็นช่วงที่คนต้องการกำลังใจด้วยสภาพเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ การไปเจอลูกค้าหนึ่งท่าน นั่นหมายถึงเงินเดือนพนักงานเกือบทั้งปี เราต้องเสริมความมั่นใจให้มากพอ

พระครูวสมุห์นพดล : อาจจะลืมสิ่งที่เราชวนเขาครั้งแรกที่มาหาเรา ทีลองบอกสิพระอาจารย์ชวนทำอะไรในเบื้องต้น

ที : จริงๆ หลักของพระอาจารย์ชวนนั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนา สอนถือศีลห้า ความอดทน ความมีเมตตา เวลาเราไปเจอคนต่างๆ นี่คือสิ่งที่พระอาจารย์เน้นย้ำอยู่เสมอ พระอาจารย์พูดประจำว่าอย่าหลงทางนะที ยึดจิตเมตตา ยึดศีลห้าเข้าไว้นะลูก นี่คือสิ่งหนึ่งที่เวลาผมมีปัญหาก็มาหาท่าน แล้วเจิม​ นะหน้าทอง​ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจสำหรับผม​

มันอาจไม่ถูกต้องซะทีเดียว หลังจากนี้อาจารย์จะคิดวิธีทำให้เหมาะสม ตอนนี้ไปถึงขั้นไหนแล้ว?

พระครูวสมุห์นพดล : วิธีที่เราคิดสิ่งแรกเลย หยุดการกระทำที่เขากำลังกล่าวถึงกันอยู่ เปลี่ยนมาบรรยายธรรม พรมน้ำมนต์ ให้ขวัญกำลังใจ ตัดปัญหากระแสสังคมต่างๆ ในเมื่อสังคมมองว่าการกระทำเหล่านี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นที่พึ่งทางใจให้ทุกคน อาตมาก็นึกถึงตอนพระพุทธเจ้าไปเจอองคุลีมาล เราหยุดแล้ว ท่านหยุดหรือยัง คำนี้น่าจะช่วยเหลือเราได้ เราก็หยุดเลย

คนวิจารณ์​ หลอกลวง​ ชาวบ้านในฐานะศิษย์เอกที่ชักนำเข้าวงการ วันนี้จะอย่างไร?

ที : ในเมื่อพระอาจารย์หยุด ผมก็หยุดครับ แต่สิ่งหนึ่งก็ประพรมน้ำมนต์ต่อ เพื่อหาแรงกำลังใจให้ตัวเอง หาสิ่งยึดเหนี่ยว ผมชอบปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ถ้าผมได้นั่งสมาธิปฏิบัติธรรมต่อไป อาจไม่ต้องพึ่งอย่างนี้ก็ได้

อาจารย์ท่านหยุดแล้ว?

จตุรงค์ : ถ้าทำแค่เหมือนที่ทำกับคุณไก่ ผมก็ไม่มีปัญหา แต่เมื่อกี้ที่อ้างคำสั่ง 2467 ก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะปกครอง บางรูปยังทำอยู่เลย แล้วถ้าจะมาสั่งแต่พระตัวเล็กๆ แต่พระตัวใหญ่ๆ คุณไม่ได้สั่งให้เขาหยุด มันต้องไปทั้งหมด ต้องบังคับให้ไปทางเดียวกันทั้งหมด ไม่ใช่จะมาบังคับเฉพาะพระตัวเล็กๆ แต่พระตัวใหญ่ๆ ประชุมอยู่ในมส. ไม่ได้ห้ามเขา พระตัวใหญ่ๆ ยังทำเหมือนกัน แต่ที่แปลกใจ สมัยคุณ​ บุ๋ม ปนัดดา​ ไปทำฟลูเฟซเหมือนกันที่เชียงใหม่ แต่ไม่เป็นข่าว เขาทำมาหลายปีก่อน ผมเห็นครั้งแรกจากคุณบุ๋มนั่นแหละ ผมว่าการขยายตัวโปรดักซ์เกาหลีมันมีมากขึ้น สมัยก่อนการทำโกลด์สปา มีแค่ปากีสถาน แล้วลามมาอังกฤษ สักพักสินค้าพวกมาสก์ก็ระบาดที่เกาหลี ตอนนี้เด็กรุ่นใหม่จะคุ้นกับการมีทองคำเต็มหน้า มาจากเครื่องสำอางนะ มันเลยผนวกกัน พอมาวันนี้พระท่านเจิม แล้วอยู่เต็มหน้าเลยก็ตกใจ ไม่คุ้นเคยหรือเปล่า

พระพยอม อยู่ในสาย เอาตรงๆ เลย อย่างไรกับการ​ ลงนะหน้าทอง​ ของวัดศาลารี?

พระพยอม :  อย่างที่อาจารย์กล่าวๆ กันนี่แหละ แต่ก่อนแค่รดน้ำมนต์ให้ศีลให้พรก็รับกันได้ ไม่มีใครตำหนิติเตียนอะไร ช่วงนี้​ โควิด เรื่องสัมผัสอาจไม่ถึงแตะเนื้อต้องตัว แต่อุปกรณ์ที่ใช้ไม่ยาวเท่าไร อย่างหลวงพ่อคูณท่านมีไม้ยาวๆ เคาะให้ แล้วแต่ละยุคแต่ละสมัย แต่งานนี้ เวลาเจิมสำคัญ การอยู่ใกล้กันนานๆ พระพุทธเจ้า เวลาพูดคุยกับสีกา ในวินัยยังบอกว่าคุยได้ 6 คำ มิฉะนั้นจะเป็น​ อาบัติ​ เล็กน้อย แต่นั่งอยู่นานๆ คุยกันนานๆ ใกล้ด้วย ชิดด้วย นานด้วย อันนี้เป็นสิ่งที่เสียเวลา เสียกิจอื่นๆ ที่จะได้เอาไปทำในชีวิต

ทำทั้งหน้าอย่างนี้ อวดอุตริ​ ไหม?

พระพยอม : ต้องถามเจตนาท่านว่าอวดไหม เข้าฌานได้ เสกเจิมได้ อ้างแบบนั้นถึงเป็น​ อาบัติ ขาดจากความเป็นพระ อย่างนี้ไม่ถึงขั้น แต่ชาวโลกติเตียนชัวร์

พระอาจารย์ว่าอย่างไร พระพยอม​ กังวลเรื่อง​ โควิด​  สองเรื่อง​ ผิดธรรมวินัย​ และ​ โลกวัชชะ​ ?

พระครูวสมุห์นพดล : ขอบพระคุณหลวงพ่อ ที่ได้ติเรื่องบางเรื่องที่ไม่ควร กระผมก็รับทราบ และปฏิบัติการแก้ไข ที่ท่านบอกใกล้ชิดกันมากเกินไป อาตมาก็เข้าใจ เรื่อง​ โลกวัชชะ ก็หยุดการ​ ลงนะหน้าทอง​ อย่างสมบูรณ์แบบ

พระพยอม : อนุโมทนาด้วยครับ

พระครูวสมุห์นพดล : ขอบพระคุณหลวงพ่อที่ให้คำติเตือน อันไหนควรทำเราก็จะทำต่ออันไหนมิควรก็จะไม่ทำครับ

ประเทศไทยทำทั้งประเทศ ที่ไหนก็มี ลงนะหน้าทอ​ง​ มีหลากหลายรูปแบบ แล้วเราจะไปอย่างไรกันดี?

พระพยอม : อนุโมทนากับพระท่าน พระพุทธเจ้าบอกว่าใครถูกตำหนิติเตียนแล้วรู้ตัวแก้ไข มีโอกาสเป็นบัณฑิตได้ แต่ถ้าผิดแล้วไม่รู้ว่าผิด ทำผิดเรื่อยไป ก็เสียโอกาสเป็นบัณฑิตได้ ต้องอนุโมทนากับท่านที่ไม่เป็นพระหัวดื้อ ดื้อรั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้าคณะจังหวัดสำนักพุทธให้ข้อคิดไปแล้ว ท่านก็ยอมรับ ถือว่าท่านมีโอกาสเป็นบัณฑิตได้ แต่ถามว่าเต็มบ้านเต็มเมืองทำ เราจะเอาเสียงคนส่วนใหญ่ที่ทำอะไรมาปกปิดห่อหุ้มเนื้อ​ แก่นของศาสนา เราอย่าไปเห็นดีเห็นงาม ชื่นชมกันนักเลย เพราะว่าเราก็รู้อยู่แล้วว่า​ ไสยศาสตร์​ กับ​ หลักทางพุทธศาสตร์ ถ้าเราหลงฤทธิ์ เราพลัดหลักไปเรื่อยๆ เอาฤทธิ์มาห่อหุ้ม​ หลักคำสอน พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วว่าการอวดฤทธิ์ควรอวดอย่างเดียว เรื่องเทศนากับใจคน สอนคนกลับใจ นั่นคือฤทธิ์ที่พระพุททธเจ้าสรรเสริญ ฤทธิ์นอกจากนั้นพระพุทธเจ้าตำหนิไม่ควรทำ ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเรื่องนี้ควรทำ ก็เข้ากับข้อที่ว่าควรทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ควรงดแต่กลับทำ รับได้ในสิ่งที่เราไม่เคยรับกันมาก่อน

เราคุยประเด็นนี้มาเป็นสิบปี เหมือนหนักขึ้นหรือเปล่า เป็นเพราะอะไร?

พระพยอม : มันเป็นทุกยุคแหละ ยุคหนึ่งพระราชาเด็ดขาด อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ประหารพระไปหลายรูป 400-500 รูป เพราะทำนอกลู่นอกทาง ประหารเลย มีอีกช่วงหนึ่ง ช่วง​ ร.3 หรือ ร.4 มีสักหน้ากันเลย มีการลงโทษ เหมือนมีตร.พระ ต่อมามีการตั้ง​ สำนักพุทธศาสนา​ แต่ก็เกิดมาเรื่อยๆ

กำลังจะบอกว่าถึงขั้นประหารไปแล้ว จนตอนนี้มี​ สำนักพระพุทธศาสนา​ แล้ว ไม่ได้ช่วยอะไร?

พระพยอม : เรือนจำไม่ว่างนักโทษฉันท์ใด ผู้ก่อโทษในธรรมวินัยย่อมไม่ขาดไปฉันท์นั้น อย่าลืมนะ เหมือนขยะในทะเล จะถูกซัดขึ้นฝั่งฉันท์ใด ธรรมวินัยนี้ก็ซัดผู้ที่นอกรีดนอกรอยขึ้นฝั่งฉันท์นั้น

ฟังแล้วสิ้นหวัง?

จตุรงค์ : ไม่เห็นต้องสิ้นหวัง ต้องทำใจ เป็นเรื่องศรัทธา ใครศรัทธาอะไรก็ไปอย่างนั้น ใครสายวิปัสสนา ก็ไปวิปัสสนา ใครชอบสายวัดป่าก็ไปวัดป่า ใครชอบสายบาลีก็ไปบาลี มันอยู่คู่สังคมไทย เป็นความหลากหลายอย่างหนึ่ง ถ้าท่านเจ้าอาวาสวัดศาลารีทำแค่นี้ก็ทำไปเถอะ ใครๆ เขาก็ทำกัน แต่ถ้าฟลูเฟซเต็มหน้าก็ไม่ไหว อยู่ให้มันถูกให้มันต้อง อยู่เพื่อโปรดญาติโยม เป็นขวัญและกำลังใจให้ญาติโยม ไม่ได้เป็นธุรกิจ การตลาด เป็นจุดเด่น เพื่อเรียกเงินจากญาติโยม ผมว่าเป็นอะไรที่รับได้ ถ้าเป็นภาคธุรกิจ ต้องใส่ซองหนักๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โปรโมตว่าฉันเป็นผู้วิเศษ แต้มทีเดียวขายของดี ได้โชค อันนั้นก็เกินเบอร์ไป ต้องหาความพอดีเรื่องพวกนี้ให้ได้

ความเป็นศิษย์เอก เราเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เกิดข้อวิจารณ์?

ที : ผมรู้สึกผิดที่นำพระอาจารย์มา สิ่งหนึ่งคือผมจะหา​ ที่พึ่งทางจิตใจ​ ทางอื่นมากกว่า ไม่ใช่ทางนี้อีกต่อไป จะสวดมนต์มากขึ้น หรือฟังคำสอนพระอาจารย์มากขึ้น ทีนี้ที่นี่อาจกลายเป็นที่ปฏิบัติธรรมในอนาคต​ และผมก็ร่วมอนุโมทนา​ และร่วมปฏิบัติ​ธรรมที่นี่ด้วย

เอาเป็นว่าเรื่องการ ลงนะหน้าทอง​ หรือการทำพิธีต่างๆ​ ถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล​ ส่วนในเรื่องของความเหมาะสม​ก็คงต้องดูที่เจตนา​ ว่าเป็นการทำเพื่อจุดประสงค์​ใด​ อย่างไรก็ตามแอดอยากให้ทุกคนใช้วิจารณญาน​ในการตัดสินใจ​ และดำเนินชีวิตด้วยสติอยู่เสมอนะคะ

คลิปอีจันแนะนำ
กวินท์ สายเปย์ เซอร์ไพรส์ของขวัญให้ ปุ้มปุ้ย