อ.ยิ่งศักดิ์ พิษ โควิด ทำ ธุรกิจขาดทุนหนัก ต้อง ควักทุนมาใช้ ลั่น ท้อได้ แต่ ไม่ถอย

อ.ยิ่งศักดิ์ พิษ โควิด ทำ ธุรกิจขาดทุนหนัก ต้อง ควักทุนมาใช้ ลั่น ท้อได้ แต่ ไม่ถอย รับมีลูกคอยให้กำลังใจไม่ห่าง

เป็นอีกหนึ่งคนที่โดนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด ด้วยเช่นกัน สำหรับ อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ครูสอนทำอาหาร และ พิธีกรฝีปากกล้า โดยเจ้าตัวได้ออกมาบอกเล่าเรื่องราวผ่านรายการ คุยแซ่บโชว์ ถึงผลกระทบต่างๆจาก โควิด ที่ตนเองได้รับ ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่า ธุรกิจขาดทุนหนัก สาหัสจริงๆ โดย อ.ยิ่งศักดิ์ เผยว่า

“ก็คงเหมือนคนทั่วไปที่เจอ โรคมันมาชีวิตความเป็นอยู่ก็เปลี่ยนไปมันเป็นหายนะ เพราะ โควิด รอบที่ 1 เราก็ตกอกตกใจ รอบที่ 2 เราก็เสียวไส้ว่ามันมาอีกแล้ว มา รอบที่ 3 ก็ฉิบหายวายป่วงหมดเมือง”

“จริง ๆ แล้วเราเป็นคนทำงานตลอดเวลา ก็ไปโน่นไปนี่ไม่เคยคิดว่าตัวเองไปเฉียด โควิด นั้นเป็นหายนะเป็นวิบากกรรมอะไรที่ซวยซ้ำซวยซ้อนมาก คือวันนั้นเราไปทำงานปกติเราก็ไม่คิดอะไรแล้วพิธีกรที่นั่งใกล้ ซึ่งเราก็เข้าใจแล้วเขาก็ออกมาขอโทษแล้ว คือรุ่นน้องมะตูม พอเราไปออกงานเสร็จเราก็กลับ วันรุ่งขึ้นเราไปออกงานกับผู้ใหญ่ มีรัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษา มีปลัดกระทรวงศึกษา มีรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข และเราก็ไปยืนอยู่กลางงานกระทรวงสาธารณสุข แล้วเราก็สัมผัสกับผู้ใหญ่ในอาทิตย์นั้น 4-5 กระทรวง ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเลยต้องพลอยฟ้าพลอยฝนหยุดไปด้วย คือถ้าติดวันนั้นครึ่งสภาแย่แน่เลย แต่ อ.ยิ่งศักดิ์ อยากจะบอกว่า ต่อให้ใครเป็น แล้วเราใส่แมสก์ เราดูแลตัวเอง เดี๋ยวก็ฉีดแอลกอฮอลล์ล้างมือ กลับบ้านก็เปลี่ยนเสื้อผ้า คิดว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดถ้าเรารู้จักดูแลตัวเอง”

เห็นว่าสุขภาพคุณแม่ไม่ดี ต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อย ๆ?

“ใคร ๆ ก็จะบอกกันว่าไม่จำเป็นอย่าไปโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลจะมีผู้ป่วยเยอะทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัวว่าติด โควิด หรือไม่ เพราะฉะนั้นการเข้าโรงพยาบาลจะต้องสัมผัส แต่คุณแม่ของ อ.ยิ่งศักดิ์ นั้นอายุ 92 ท่านต้องฟอกไตวันเว้นไว แล้วโรงพยาบาลอยู่ใจกลางกรุงเทพ ในขณะที่ลูกต้องขับไปบ้าง น้องสาวต้องขับไปบ้าง ต้องเอาคุณย่าใส่รถอุ้มขึ้นอุ้มลงแล้วนั่งรอ 4-5 ชั่วโมงตอนฟอกไต เพราะระหว่างฟอกไตมันมีกรณีฉุกเฉินเกิดขึ้นได้เสมอ เราก็จำเป็นต้องไป เราก็กลัวคุณแม่จะติด โควิด ไหม แต่โรงพยาบาลทุกแห่งเขาก็มีมาตรการดูแลดี คุณแม่ของ อ.ยิ่งศักดิ์ ใจคอเข้มแข็งมาก นั่งทานข้าวด้วยกัน ท่านก็บอกว่าโรคภัยไข้เจ็บมันก็มา ฉันเจอมาตั้งกี่หนแล้วในชีวิต ท่านก็เล่าว่าสมัยก่อนโรคห่ามาแกไม่รู้หรอก เข้าส้วมแล้วก็ไม่มาเลย ท่านหมายความว่าท้องเสียตายในส้วม แล้วท่านก็ยังบอกตอนฝีดาษระบาด ท่านก็บอกว่ายิ่งแย่ใหญ่เลย เอาแคร่ไปวางไว้ในสวน เอาใบตองปูห่อข้าวแล้วเขวี้ยงให้เขากิน เพราะไม่กล้าไปใกล้ แกกลัวแต่เพียงรู้สึกว่าวันนี้ชีวิตเปลี่ยนไป คือเมื่อก่อนบ้านมันห่างกัน แต่เดี๋ยวนี้บ้านมันติดกัน บ้านข้าง ๆ ไอเปิดหน้าต่างมาเชื้อโรคก็เข้าบ้านเรา อย่างตอนที่เรากักตัว เพื่อนบ้านเขารังเกียจ อ.ยิ่งศักดิ์ เข้าใจว่าคนไทยจำนวนหนึ่งมีความเข้าใจผิด บางคนก็เยอะ ถ้าเขาแสดงอาการสนใจเราก็ไม่ว่าอะไร แต่อย่าแสดงอาการรังเกียจมันจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีกับคนที่เราคุยกัน คนที่รัก ๆ กันแล้วมาคุยแบบนี้เราก็รับไม่ได้”

เห็นว่า โควิด กระทบงานในวงการ?

“ถ้าเป็นงานในวงการบันเทิงมันก็เหลือน้อยลงจนแทบไม่มี ถ้าไม่มีรายการทำกับข้าวที่ยืนได้คนสองคนในสตู แต่รายการของเราที่ทำ คือ กับข้าวกับปลาก็ซื้อลำบาก ตลาดโน้นก็ปิดตลาดนี้ก็ปิด พอต้องไปซื้อของในห้าง ของบางอย่างก็มีไม่ครบ ก็เรียกว่าทำกับข้าวลำบาก ส่วนงานพิธีกรก็เกือบไม่เหลือแล้ว อ. เป็นพรีเซ็นเตอร์อยู่ 3-4 สินค้า ทุกสินค้าก็ชะลอตัวหมด เดือนหนึ่ง ๆ รายได้ก็หายไปเยอะ”

ธุรกิจ การสอนก็กระทบ?

“เรามีโรงเรียนสอนทำอาหารเป็นระดับมหาวิทยาลัย ในความควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการ เรามีสอนระยะสั้น ยังมีปวช. เรียน 3 ปี เรียนต่อปวส. 2 ปี ได้อนุปริญญา ทีนี้กระทรวงศึกษาธิการประกาศเพราะ โควิด มา เด็กก็ต้องเรียนระบบออนไลน์ ซึ่งมันยาก เพราะวิชาชีพไม่สามารถเรียนผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างมีมาตราฐาน อ.ยิ่งศักดิ์ ขอยืนยัน เพราะฉะนั้น ตอนนี้เพื่อไม่ให้เกิดการขาดตอน นักเรียนก็จะเรียนกับครูผ่านออนไลน์ไปบ้าง ให้การบ้านผ่านไลน์กลุ่มบ้าง อันนี้ก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราว แต่ อ.ยิ่งศักดิ์ ก็ยังไม่เห็นว่าหลังจากนี้จะต้องใช้ระบบไหน คือมันยังไม่ออกมา ถามว่ามีคนขอค่าเทอมคืนไหม คือค่าเทอมที่เก็บมาอย่าคิดว่า อ.ยิ่งศักดิ์ ได้กำไร บางคนก็บอกว่าลูกไม่ได้ไปเรียน 2-3 เดือนค่าเทอมจะคืนไหม แอร์ก็ไม่ได้เปิด เราก็รู้สึกลำบากใจ เพราะชั่วโมงนี้หากเรามองเรื่องเงินที่จะเอาคืน หรือจะมองความปลอดภัยของลูกหลานของเราที่ไม่ได้มาโรงเรียน คือเราก็อยากเปิดสอน แต่ถ้ามาแล้วติด โควิด จะทำอย่างไร คือเราแค่เลื่อนไป เราไม่ได้หยุด เรื่องการศึกษาคือเราแค่ขยับช่วงเวลาออกไป อ.ยิ่งศักดิ์ ไม่ได้ตัดแล้วไล่นักเรียนออก โรงเรียนยังคงเปิดอยู่”

แม้โรงเรียนจะปิดชั่วคราว แต่บุคคลากรในโรงเรียนเราก็ยังเลี้ยงอยู่?

“คืออย่าบอกว่าเลี้ยง แต่เรียกว่าเป็นความรับผิดชอบที่เรามีต่อเขา คือครูแต่ละคนกว่าจะเก่ง กว่าจะสอนกับเราได้ เขาก็ต้องรักองค์กรทุ่มเทให้กับเรา ถ้า โควิด มาแล้วเราให้เขาออกเลยเราทำไม่ได้ รู้ไหมว่าในช่วง โควิด เราไม่เคยตัดเงินพนักงาน เราไม่เคยจ่ายเงินครึ่งเดียว หรือปิดกิจการไปก่อนแล้วอีก 2 เดือนค่อยมาเริ่มทำ”

ได้ยินว่าขาดทุนเกือบ 7 ล้านนี่จริงไหม?

“พูดตรง ๆ ค่าใช้จ่ายเฉพาะกรุงเทพเดือนหนึ่ง 2 ล้านกว่าบาทหายไปแล้ว เพราะ พนักงาน อ.ยิ่งศักดิ์ ที่กรุงเทพมี 50 คน ที่เชียงใหม่มีไม่ถึง 10 คน แต่ที่เชียงใหม่บังเอิญอยู่ในห้างสรรพสินค้า ทีนี้ห้างก็ไม่มีคนเข้าแต่ค่าน้ำค่าไฟ เราก็ยังต้องจ่าย ที่เชียงใหม่เดือนหนึ่งประมาณ 3 แสนบาท แล้วจ่ายมาโดยไม่มีรายรับมา 16-17 เดือนแล้ว คือมูลค่าที่เอามาลงทุนเรา ควักทุนออกมาใช้ ไปจ่ายสำรองเรื่อย ๆ ที่โรงเรียนปิดเราก็ปิดตามคำสั่ง แต่กิจการเราก็ยังเปิดอยู่ เพียงแต่เราไม่สามารถให้นักเรียนมาเรียนได้ ถึงมาได้ก็สอนได้แค่โต๊ะละคน เปิดไปก็ ขาดทุน อยู่ดี”

หลายคนสงสัย ขาดทุน ขนาดนี้ไม่คิดจะปิดกิจการบ้างหรือ?

“คือเราคิดว่าเรื่องปิดกิจการมันปิดง่าย ยิ่งเราไม่มีความรับผิดชอบและไม่เอื้ออาทร พนักงาน ของเรา เราก็ประกาศปิดได้เลย เราก็ไหลตามน้ำแล้วก็อ้าง โควิด เราทำอย่างนั้นไม่ลง เราต้องคิดถึงวันที่เขาทำงานกับเรา เขาอยู่กินกับเรา วันหนึ่งที่ โควิด มา เราปิดการให้เขาออกไปแล้วเขาจะไปทำอะไรกิน”

ตอนนี้ก็ ขาดทุน อยู่เดือนละ 2 แสนห้า ให้เวลาอีกกี่เดือน?

“ก็กำลังนั่งคิดอยู่ เห็นบอกว่า โควิด ตอนนี้ยอดก็ลดลง วัคซีนก็เริ่มแจกจ่ายกันไปบ้างแล้ว และบางประเทศเขาก็เปิดแล้ว บางจังหวัดก็เปิดแล้ว จังหวัดที่มีคนติดไม่เกิน 10 คนก็มีเกิน 50 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี ตอนนี้คนไทยก็เริ่มมีการเรียนรู้ และพวกเราก็เริ่มลุกขึ้นมาสู้ มันทำให้เรามีความหวัง ก็ขอดูสถานการณ์ต่อไปอีก 3 เดือน หลังจากนั้นคงต้องคุยในครอบครัวแล้วว่าอะไรเอาไว้ อะไรต้องปิด”

ระหว่างทางเงินที่จ่ายไปเอาที่ไหนมาจ่าย?

“ขอบอกว่าที่ผ่านมา อ.ยิ่งศักดิ์ เป็นคนขยันและทำงานมา 40 ปี เริ่มต้นจากเงิน 20,000 บาท และเล่นแชร์เดือนละ 2,000 ซึ่งเป็นเรื่องในอดีตเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว และ 40 กว่าปีเป็นคนทำงาน 7 วันไม่มีวันหยุด น่าจะต้องมีสตางค์บ้าง ไม่อาจที่จะบอกว่า ควักทุน เอาเงินที่เก็บมาค่อนชีวิตไปกอบกู้สถานการณ์ในตอนนี้ แต่ตอนนี้ก็ใกล้หมดแล้ว ที่ผ่านมาเราจะแบ่งเงินไว้ 3 ส่วน ส่วนที่หนึ่งคือใช้ในกิจการ ส่วนที่สองคือกันไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด ส่วนที่สามถือว่าเป็นเงินของครอบครัว จะแตะไม่ได้”

ลูก ๆ ให้กำลังใจอย่างไรบ้าง?

“ลูก 2 คนก็ลุกมาช่วยงานมากขึ้น มีวันหนึ่งลูกชายก็พูดว่า ถ้าป๊าไม่อยู่แล้ว โควิด มาแบบนี้ผมไม่รู้เลยนะว่า ผมจะไปต่ออย่างไร พอเราได้ยิน เราเข้าใจเลยว่าเขาตกใจ แล้วเราก็คิดว่าเราจะอยู่เฉย ๆ เราจะเกษียณ เราเกษียณไม่ลงเราก็ต้องลุกมาช่วยลูกเพราะกลัวเขาไปไม่ถูก ถามว่าเราน้ำตาตกไหม คือเราเป็นพ่อดังนั้นเราจะไม่ร้องไห้ให้ลูกเห็น เวลาที่เรานั่งคนเดียวตอนกลางคืน เรามองสถานการณ์ โควิด มองเงินที่ไหลเหมือนทำนบแตก มองดูรายได้ที่ไม่มีเลย แล้วถ้าเราต้องอยู่แบบนี้ไปอีก 3 เดือน 6 เดือน คือถ้าเรารู้ตัวก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่นโยบายภาครัฐไม่เคยให้ความหวัง ให้ความกระจ่าง หรือให้คำแนะนำใด ๆ เลยว่าต้องต่อสู้กับ โควิด ไปอีกนานแค่ไหน คือต่างคนต่างต้องคาดการณ์เองมันยากนะ ในการที่จะดำรงชีวิตในบ้านนี้เมืองนี้ ที่เป็นแบบนี้”

เราสร้างกำลังใจให้ตัวเองอย่างไร?

“เอาเป็นว่าเราไม่ได้ทุกข์ระทมแต่เพียงผู้เดียว แต่มันเป็นด้วยกันทั้งโลกใบนี้ และผลที่เกิดขึ้นก็เกิดจากการกระทำของมนุษย์ในโลกใบนี้ คนละเล็กละน้อย มันถึงทำให้โลกเราเป็นแบบนี้ เรา ท้อได้ แต่เรา ไม่ถอย ชีวิต อ.ยิ่งศักดิ์ สู้ตลอด และเรามั่นใจว่าโควิดจะไปจากแผ่นดินไทยและไปจากทั้งโลก อ.ยิ่งศักดิ์ ไม่เชื่อว่าคนทั้งโลกจะสูญพันธุ์เพราะ โควิด ”

อยากบอกอะไรกับลูกบ้าง?

“ก็อยากจะบอกว่าชีวิตเขาเพิ่งจะเริ่มต้น เขาเพิ่งจะ 30 นิด ๆ เราก็ปาไปเลย 7 แม่ก็เลย 6 กว่า คุณย่าก็ปาไปเลข 9 แล้ว ก็เป็นได้แค่กำลังใจ และตัวอย่างของความอดทน ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ ท้อได้ แต่ ไม่ถอย นะลูก”

ตอนนี้หัวใจเป็นอย่างไรบ้าง?

“ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเรามีครอบครัว จะไปมีความรักกับคนอื่นได้อย่างไร ไม่ได้เป็นคนหลายใจ ทุกวันนี้ก็อยู่กับลูก อยู่กับครอบครัว อ. ไม่เคยไปไหน ไม่เคยมีใครมาข้องแวะเกาะแกะในชีวิตเลย ด้วยบุคคลิก ท่าทางและอาชีพการงานที่ต้องเจอผู้คน ทุกคนก็รู้ว่าเราพอจะมีเงินบ้างไม่ถึงกับอดมื้อกินมื้อ มันก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีคนเข้ามาในชีวิตบ้าง”

แล้วทำไมถึงโสดมากว่า 10ปี?

“คนอายุ 70 มันเป็นช่วงที่เรียกว่าเสน่ห์วาย อย่าง อ.ยิ่งศักดิ์ มีอะไรน่าเข้าใกล้ตรงไหน พูดตรง ๆ ว่าสัญชาตญาณทางเพศ คนในรุ่นเรากลิ่นและความรู้สึกในการดึงคนเข้ามามันน้อยลง สิ่งเดียวที่จะดึงคนเข้ามาได้คือเงินที่เขวี้ยงออกไป”

แล้ววันนี้มีคนที่เดินเข้ามาไหม?

“ก็มีแบบกุ๊กกิ๊กเล็ก ๆ เราเข้าใจว่าเขาอาจจะอยากเข้ามาลองของ อย่างเข้ามาในหลังบ้านอินสตาแกรมส่วนตัว ถามว่าพี่อยู่กับใคร แล้วเราก็ตอบเขาไปว่าถามทำไมเหรอ เขาก็บอกว่าเผื่อพี่เหงา แล้วฉันก็ตอบเขาไปเลยว่า ถ้าฉันอยากหายเหงาฉันต้องจ่ายเท่าไหร่ คนที่ถามก็หายไปเลย เพราะเรารู้เท่าทันคน ถามว่าเคยโอนไหมเราไม่เคย แต่ถ้าช่วยเหลือคนอย่าง สามพัน ห้าพัน หมื่นหนึ่ง หรือเป็นแสน ถ้าเรารู้จักและเต็มใจที่จะช่วยเหลือ เราก็ช่วย”

ทุกวันนี้มีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือเยอะไหม?

“มีเยอะ มียืมสตางค์ ซึ่งแต่ละคนไม่ได้ยืมน้อย ๆ นะ ยืมหลักแสนหมดเลย เขาไม่ยืมสามพันห้าพัน แต่ละคนที่เข้ามาสองแสนอัพ แต่ อ.ก็ให้ไม่ได้ อ.ได้แต่บอกว่าแต่ก่อนเงิน 2 แสนนี่เรื่องเล็กนะ แต่ตอนนี้เงินในเอทีเอ็มเหลือ 3 หมื่น 5 หมื่นก็ดีใจจะตายแล้ว แล้วก็ใช้จ่ายเงินแบบคิดแล้วคิดอีก”

แล้วตอนนี้มีปลื้มใครบ้างไหม?

“อาจจะมีบ้างที่ปลื้มคนโน้นคนนี้ มันเป็นเรื่องปกติเพราะเรานั่งในโซเชียลก็ส่องแอพโน้นแอพนี้ว่าหน้าตาเด็กรุ่นนี้ทำไมเก๋จัง มันก็ไม่ผิดถ้าเราจะเข้าไปในแอพหาคู่ซึ่งเป็นเรื่องปกติ มันมีแอพสนุกสนานอะไรเราต้องเข้าไปให้หมด เพราะมันเป็นสิ่งที่พึงรู้ เราเข้าไปเพื่อรู้ถึงวิวัฒนาการของคนรุ่นหลัง ถ้าเราอยากจะอยู่กับอนาคตเราต้องอยู่กับเด็กที่เขาเป็นปัจจุบันที่เราเข้าไปก็เพื่อการเรียนรู้”

แล้วตอนเข้าไปเราใช้รูปจริงไหม?

“รูปจริง ตัวจริง น้องยิ่ง ยิ่งศักดิ์ ไม่เห็นต้องไปแคร์อะไร ชอบใช้คำว่าน้องยิ่งมันดูเป็นกันเอง แต่คนที่ทักตอบเขาเรียกฉันว่าอาจารย์ยาย เราก็สนุกขำ ๆ ก็เป็นความบันเทิงในจิตใจพอกรุบกริบ ลูกก็เห็นหมดเวลาเราไปทำอะไรกับใครในแพตฟอร์มของเฟซบุ๊ก เพราะ อ.ยิ่งศักดิ์ เป็นคนไม่ปิด แล้วทุกคนก็จะรู้ว่าวัน ๆ หนึ่งเราคบใครเราคุยกับใคร การเปิดเผยเป็นสิ่งที่ดีที่สุด พอเราปิดเราหลบเราซ่อนกับคนที่บ้าน อันตรายถึงชีวิตจะมาถึงตัว”

เห็นว่ามีรายการไปถ่ายรายการที่บ้าน ผ่านไป 1 วันก็มีโจรขึ้นบ้าน?

“เรียกว่าเขามาเยี่ยมบ้าน แล้วเราก็เปิดบ้านให้ดู คือเรามีบ้านหลายหลังมาก บ้านหลังหนึ่งจะแต่งเป็นจีน หลังหนึ่งแต่งเป็นยุโรปซึ่งเป็นหลังเล็ก ๆ แต่เราจะใส่ใจในทุกรายละเอียดมาก ซึ่งเราเป็นคนละเอียดและปราณีตเรื่องการจัดบ้านมากก็ดำเนินรายการด้วยดี แต่พอผ่านไปหนึ่งวัน บ้านก็โดนงัดเยินไปเลย เพราะข้างบ้านมีก่อสร้าง เขาเข้าทางหลังคาทะลุฝ้าแล้วออกทางประตูสวย ๆ แล้วเครื่องเสียงแสนกว่าก็หายไป แต่คงเอาไปไม่ครบเพราะเห็นถอดสายลำโพงกระจุยกระจาย ตั้งแต่นั้นมาขอบอกผ่านตรงนี้เลยว่า งดเยี่ยมบ้านน้องยิ่งนะ ไม่กล้าเปิดบ้านแล้ว เพราะได้ค่าถ่ายรายการไม่พอค่าซ่อมหลังคา ถามว่าจับได้ไหมจะไปจับอย่างไรคนต่างชาติทั้งนั้น ถามว่านอกจากเครื่องเสียงแล้วมีอะไรหายไปอีก ก็มีของกระจุกกระจิกเพราะปกติจะไม่เก็บเงินทองในบ้านที่ไม่มีคนอยู่ มูลค่าที่โดนไปก็ 2 แสนกว่าบาท เราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาไปแล้วเขาจะรู้มูลค่าหรือเปล่า”

เรียกว่าเป็นการออกมาเปิดใจหมดเปลือก ทุกเรื่องราวชีวิตเลยทีเดียวของ อ.ยิ่งศักดิ์ แม้ว่า ธุรกิจขาดทุนหนัก ต้อควักทุน มาใช้ แต่เจ้าตัวก็ยังสู้ต่อ แอดเชื่อว่าหลายคนกำลังท้อกับสถานการณ์ โควิด ในตอนนี้ แต่ก็อย่างที่ อ.ยิ่งศักด์ บอก พวกเราจะต้องสู่ ท้อได้ แต่ ไม่ถอย เพื่อที่จะผ่านมันไปด้วยกันนั่นเองค่ะ