เก๋ ชลลดา เข้าพบ ตร. รับทราบข้อกล่าวหาบุกรุกบ้าน ช่วยสุนัข 44 ตัว

เก๋ ชลลดา พร้อม ทนายเจมส์ เข้าพบพนักงานสอบสวน หลัง ถูกหมายเรียก ข้อหา บุกรุก เหตุ ช่วยเหลือสุนัข 44 ตัว พร้อมแจ้งความกลับเจ้าของสุนัข ข้อหาทารุณกรรมสัตว์

ดารา นางแบบ สาว เก๋ ชลลดา ในฐานะประธาน มูลนิธิ​เดอะว๊อยซ์ เสียงจากเรา และ นายพีระบุญ เจริญวัย ประธานองค์สวัสดิภาพสัตว์ เดอะโฮปไทยแลนด์ พร้อมทนายความ นายนิติธร แก้วโต หรือ ทนายเจมส์ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.นิมิตรใหม่ หลังถูกออกหมายเรียกเข้าพบกรณีเข้าไปช่วยเหลือสุนัขกว่า 44 ตัวที่บ้านพักภายในซอยนิมิตรใหม่40 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่กลับถูก นายอรรถพล เจริญพิทักษ์ เจ้าของสุนัข แจ้งความดำเนิคดีในข้อหาร่วมกันบุกรุก ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ด้านสาว เก๋ ได้เปิดเผยว่า “ตนเองรู้สึกงงมาก ว่า ถูกออกหมายเรียกได้อย่างไร เพราะก่อนจะเข้าไปช่วยเหลือสุนัขในบ้านหลังดังกล่าว ได้ขออนุญาตเจ้าของสุนัขก่อนแล้ว โดยได้ชี้แจงวิธีการและขั้นตอนว่าจะดำเนินการอะไรบ้าง ซึ่งทางเจ้าของสุนัขเองก็อนุญาตให้เข้าไปดำเนินการ และในวันที่เข้าไปช่วยเหลือก็มีเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. นิมิตรใหม่ ไปด้วย ไม่ได้เข้าไปโดยพลการแต่อย่างใด โดยในวันนั้นสุนัขที่เข้าช่วยเหลือมีทั้งหมด 44 ตัว ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้นำสุนัขทั้งหมดไปตรวจร่างกาย และรักษาอาการป่วยต่างๆ โดยมีสุนัขจำนวน 8 ตัวที่มีสุขภาพแข็งแรง และทางเจ้าของนำกลับไปเลี้ยงเอง ส่วนสุนัขอีก 36 ตัวที่เหลือ ทางมูลนิธิ​ได้ทำการรักษา และได้หาบ้าน หาเจ้าของใหม่ให้จำนวน 32 ตัว เหลืออีกเพียง 4 ตัว ที่ยังคงต้องรักษาตัวต่อ เพราะสุนัขมีพฤติกรรมหวาดระแวง กลัว และไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ ขอยืนยันว่าไปด้วยเจตนาดี ที่อยากจะช่วยเหลือสุนัข จากการที่เจ้าของดูแลไม่ทั่วถึง จึงทำให้ตนเองไม่เข้าใจว่า ทำไมภายหลังเจ้าของสุนัขถึงมาแจ้งความดำเนินคดีกับตนและพวก วันนี้จึงมารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และจะแจ้งความกลับดำเนินคดีกับเจ้าของสุนัขในข้อหาทารุณกรรมสัตว์ด้วย”

ด้าน พ.ต.อ.รัฐศักดิ์ รักสลาม รองผบก.น.3 เปิดเผยว่าสำหรับเรื่องดังกล่าวจะต้องทำการสอบสวน เพื่อดูเจตนาของคู่กรณี ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีเจตนาดีทั้งคู่ คือเจ้าของก็รักสุนัขของตนเอง ในขณะที่สาว เก๋ ก็อยากจะเข้าช่วยเหลือสุนัขที่ถูกปล่อยปะละเลย ซึ่งต้องพิจารณา​จากข้อเท็จจริง ซึ่งในส่วนของข้อหาบุกรุกก็จะต้องพิจารณาว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่ ในการเข้าช่วยเหลือสุนัข ทุกอย่างอยู่ที่ข้อเท็จจริง พนักงานสอบสวนจะดูที่เจตนาเป็นหลักเพื่อสรุปว่าจะสั่งฟ้องในชั้นพนักงานสอบสวนหรือไม่ต่อไป

เอาเป็นว่าคงต้องติดตามเรื่องราวนี้กันต่อไป ว่าสรุปแล้วจะจบลงแบบไหน จะสามารถไกล่เกลี่ยถอนแจ้งความกันได้หรือไม่ เพราะดูจากเจตนาก็เห็นว่าทั้งสองฝ่ายก็มีความรักและหวังดีกับสุนัขเหมือนกัน ถ้ามีอะไรคืบหน้าแอดจะมารายงานให้ทราบอีกครั้งนะคะ