วู้ดดี้ วุฒิธร เผยเรื่องราวที่ไม่เคยเล่า รับเตรียมพร้อมเรื่องความตาย

​วู้ดดี้ วุฒิธร เผยเรื่องราวที่ไม่เคยเล่า บอกเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง รับมีการเตรียมพร้อมเรื่องความตาย วางแผนเพื่อไม่ให้คนที่อยู่ต้องเดือดร้อน

เป็นอีกหนึ่งพิธีกรมากความสามารถ สำหรับ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา และที่สำคัญเขาอยู่วงการบันเทิงมาอย่างยาวนาน สามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกแพลตฟอร์ม ได้เป็นอย่างดี งานนี้ อีจัน ขอเปิด รายการใหม่ กับ รายการอีจัน Life Talk ทาง Youtube Channel เลยขอเปิดทอล์คแรก คุยเรื่องราวชีวิตของ วู้ดดี้ โดยมี นาตาเลีย เพลียแคม บุกถึง Woody World โดย วู้ดดี้ เปิดใจว่า

“เชื่อไหม วู้ดดี้ เป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง เวลาที่อยู่เบื้องหลัง ก่อนจะถ่ายรายการก็จะรู้สึกประหม่าและก็ตื่นเต้น

ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็ยังต้องถามทีมงานว่า โอเคไหม ดีไหม แต่พอมานั่งอยู่ในฉาก นับ 5 4 3 2 ความมั่นใจก็จะค่อย ๆ มา เหมือนเรามีสองร่าง ร่างที่ออกสื่อ กับร่างที่อยู่บ้าน ส่วนตัวเป็นคนที่ขี้กังวลมาก นอยด์มาก แต่ในมุมกลับกัน พอเราอยู่หน้ากล้อง ใครจะรู้ว่าภายใต้ความสนุกสนานที่เรากำลังมอบให้ผู้คน มันมีความกดดันซ่อนอยู่ แล้วมากไปกว่านั้นคือมันต้องสู้กับตัวเอง เพื่อที่จะกลั่นให้มันเกิดความสุขมากที่สุดและส่งต่อให้คนดู และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้พี่กลายเป็นโรคแพนิกก่อนหน้านี้ ซึมเศร้า มีปัญหาทางจิตเวช เพราะพอมีสองร่างมันตีกัน”

“เวลาคนบอกว่าคนนี้มั่น ในใจพี่ปฏิเสธเลย ไม่ใช่ ฉันไม่ได้มั่น เราเป็นคนนอยด์มาก แต่พอในภาพออกไปมันมั่น มันก็เลยขัดกัน แล้วใจเราไม่โอเค รู้สึกแย่ รู้สึกเศร้า จนกระทั่ง ก็ต้องเลือกว่าเราจะเอายังไง เราจะเปลี่ยนภายในตัวเรา หรือเราจะเปลี่ยนบุคลิกภายนอก เพราะพี่ยอมรับว่าภาพก่อนหน้านี้ พี่ตั้งใจทำให้เป็นคนสัมภาษณ์ แบบแรง แบบตรง เพราะรู้สึกว่ามันเป็นของแปลกแล้วมันจะเด็ด ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเป็น แล้วก็อยู่กับคาแร็กเตอร์นั้นหลายปีมาก จนมันเกิดความซึมเศร้าว่าเราไม่รู้สึกเป็นตัวของตัวเอง เราไม่รู้สึกว่าเป็นเรา หรืออาจจะเป็นร่าง 3 ร่าง 4 ของเราลึก ๆ แล้ว ที่อยากจะถามแทนคน ในอารมณ์ที่มันตรงไปตรงมา”

“ที่ผ่านมาถ้าคุณดูโพสต์ของพี่ มันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องจิตเวชต่าง ๆ นานาบางทีอาจจะเคยโพสต์ในโซเชียล แต่ไม่เคยให้สัมภาษณ์ ก็อยากแชร์วันนี้ เพราะอยากจะบอกทุกคนว่า เวลาเรารู้สึกว่าเรามีปัญหา อย่ามองว่ามันเป็นปัญหา มองว่ามันเป็นพร ที่ให้เรามาเรียนรู้ ให้เราอยู่กับมัน ก็เพราะเมื่อเราอยู่กับมันและยอมรับมัน มันจะค่อย ๆ เบาลง แต่ถ้าเรายอมรับมันไม่ได้ เรารู้สึกว่าทำไมมันเกิดขึ้นกับเรา มันจะยิ่งปะทุ มันจะยิ่งใหญ่ ตอนนี้พี่รู้สึกว่า พี่ที่นั่งอยู่ตรงนี้ กับพี่ที่บ้าน มันคือคนเดียวกัน มันอาจจะมีบางอย่างที่โอเวอร์นิดหนึ่ง เรามีกล้อง มีไฟอยู่ พี่อาจจะยังคุ้นชินกับการมีความเยอะในการสื่อสาร เพราะอยู่ที่บ้านก็อาจจะไม่ได้คุยแบบนี้ แต่เอาตรง ๆ ไปนั่งกับเพื่อน ทุกคนบอกว่า เหมือนนั่งอยู่ในรายการเลย”

มีคนที่พี่สัมภาษณ์คนไหนแล้วรู้สึกว่าตอบโจทย์และเป็นประโยชน์มากกับชีวิต?

“พี่จะยกตัวอย่างของคนที่พี่นับถือมาก นั่นก็คือเดวิด เบคแฮม มันไม่ใช่ประเด็นที่เราคุยกัน แต่คือการที่เขาเดินเข้ามาในกองแล้วใช้เวลา 10 กว่านาทีในการทักทายทุกคนในกองถ่าย สวัสดีครับ ผมชื่อเดวิด เบคแฮมครับ นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ว่าเราไม่ควรจะมองข้าม คนที่เราอยู่ด้วยทุกวัน หรือคนที่เข้ามาใหม่ในชีวิต เพราะทุกคนเท่ากันหมด หรืออย่าง วิล สมิธ สัมภาษณ์ วิล สมิธ เสร็จ อีกสองอาทิตย์ต่อมาพี่ก็ได้จดหมายจากเขา ร่ายถึงความรู้สึกที่ได้มีโอกาสคุยกับพี่ โห มันสัมผัสใจพี่มาก แต่ละอย่างที่เขียนออกมา มันไม่ใช่แค่เป็นพีอาร์เขียนให้ แต่มันมาจากใจของเขาจริง ๆ”

อย่างเรื่องของคู่ชีวิต เรามีการปรับความบาลานส์ ยังไง ระหว่างงาน กับ ความรัก?

“ชีวิตความสัมพันธ์เรา พี่ว่ามันก็เหมือนทุกคู่ พี่ไม่ได้มองว่าชีวิตความสัมพันธ์พี่มันหวานชื่น สมบูรณ์แบบ มันก็มีวันที่หนัก ไม่คุยกัน ทะเลาะกัน พอเราคบกันมายาวนาน 16 ปี เราต้องยอมรับก่อนว่า โอ๊ตในวันแรกที่พี่คบ ก็ไม่ใช่โอ๊ตในวันนี้ เพราะว่าคนเราเปลี่ยนทุกวัน เราจะไปคาดหวังว่าเขาจะยังเป็นคนเดิมในวันนั้นไม่ได้ เช่นเดียวกับพี่ วันนี้พี่ก็เปลี่ยน เมื่อเราเห็นว่าต่างคนก็ต้องต่างเปลี่ยนไป ไม่รู้จะใช้คำว่าพัฒนา หรือเปลี่ยนแปลง มันก็คือปรับจูนไปกับโลกและสังคม และกับประสบการณ์ สมัยก่อนเขาอาจจะชอบเซอร์ไพรส์ แต่เดี๋ยวนี้อาจจะไม่อยากให้เซอร์ไพรส์ เราต้องจูนกันไปเรื่อย ๆ อันนี้แค่ยกตัวอย่างให้ฟัง”

“เราเลือกคนคนนี้เป็นคู่ชีวิตเราแล้ว มันก็เป็นทีมเวิร์ค ก็ต้องไปด้วยกัน ส่วนความหวานก็คือ ตื่นมา กอด ฟัด หอม พูดภาษาต่างดาว งุงิงุงิงุงิ ระหว่างวันก็ส่งคลิปหมาแมวในอินสตาแกรม อาจจะไม่คุยกันตอนกลางวัน เพราะพอเข้าสู่โหมดทำงาน ก็จะหลีกเลี่ยงไม่คุยกันมากเพราะรู้ว่าตอนทำงานจะจริงจัง จะคุยกันแบบเพื่อนร่วมงาน แล้วก็ไปเจอกันตอนเย็นใหม่ ก็จะพูดภาษาเอเลี่ยนใหม่ ก่อนนอน”

ถ้าวันนี้มันมีปาฏิหาริย์ พี่วู้ดดี้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งที่พี่วู้ดดี้จะทำเป็นลำดับต้น ๆ คือเรื่องอะไรบ้าง?

“ถ้าเป็นในมุมของ LGBT+ เรื่องการสมรส จดทะเบียน ความเป็นคู่ชีวิตมันต้องเกิดขึ้น เพราะมันจะเป็นสัญญาณ แต่ถ้าไม่ได้เน้นเรื่อง LGBTQ+ พี่ก็จะปรับโครงสร้างข้าราชการทั้งหมดเพราะพี่รู้สึกว่านี่คือปัญหาพื้นฐาน พี่ว่าข้าราชการควรได้เงินเดือนเยอะมาก และพี่เชื่อว่าข้าราชการดี ๆ มันล้นเยอะมาก แต่รายได้ของเขามันยังน้อย โครงสร้างมันต้องปรับ แล้วพอมีรายได้ที่มากขึ้น มันก็จะลดปัญหาที่ตาม”

“ประเทศเรามันมีความซับซ้อนด้วยระบบ มันมีความซับซ้อนด้วยหลายปัจจัย แล้วก็ไม่มีใครอยากจะเผชิญ แต่พี่ว่าอีกไม่นาน มันจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่มาก พี่ขอบอกนาตาเลียเป็นคนแรกว่า พี่อยากเล่นการเมืองมานานมาก เพราะคิดว่าถ้าเราเกิดมาเป็นคนไทย เป็นเกย์ ถามว่าคนไทยได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มพิกัดหรือยัง เปรียบเทียบกับชาติอื่นแล้วการเป็น LGBTQ+ มันได้ความทัดเทียมหรือยัง พี่ว่าถ้าเกิดมาแล้วเราไม่สามารถที่จะใช้พลัง ใช้ความสามารถเต็มที่ มันเหมือนกับเสียชาติเกิด”

อยากสัมภาษณ์ใคร แล้วยังไม่สามารถทำได้ไหม?

“พี่อยากสัมภาษณ์ที่สุดในชีวิตกับพี่ทำไม่ได้ ก็คือสตีฟจ็อบส์ เขาตายไปแล้ว แต่พี่อยากรู้ความคิดของเขา อยากรู้ ว่าเขาไปเจออะไรที่ญี่ปุ่น ที่เอเชีย ที่เขามาปฏิบัติธรรม และเขาได้เห็นบางอย่างจนเขาพัฒนาไอโฟน พี่อยากอยากฟังการเปลี่ยนแปลงในความคิดของเขามาก พี่อยากคุยกับสตีฟจ็อบส์มากๆ

ช่วงนี้ยูเอฟโอก็เยอะ เกิดสมมุติว่าเอเลี่ยนมาแล้วมันมีที่ ๆ นึงที่แบบว่าน่าจะเป็นที่ความสุขสุดท้ายค่ะ พี่วู้ดดี้จะไปที่ไหน?

“มันมีเมืองอยู่เมืองที่พี่ชอบมากเลยหลวงพระบาง ที่ลาว พี่ว่าเอเลี่ยนคงไม่บุกหลวงพระบาง หลวงพระบางเป็นเมืองเล็ก ๆ น่ารักนะ ที่พี่มีที่มีความหลังเยอะที่นี่ เป็นเมืองที่ไปแล้วถือว่าพี่ผูกพัน แล้วก็เมืองนี้จะเป็นเมืองน่ารักน่ารัก พี่ว่าเอเลี่ยนไม่แตะ เอเลี่ยนคงจะไปนิวยอร์ก ไปกรุงเทพฯ ถึงเวียงจันทน์อาจจะไป แต่ว่าหลวงพระบางมันเล็ก มันชิว ๆ ไม่เหมาะเอเลี่ยนหรอก”

“พี่อยากเดินทางในมากกว่าตอนนี้ พี่อยากจะไปเจอจิตตัวเอง พี่สนใจเรื่องความตายมากที่สุด ที่สุดในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เจอโควิดมาแล้วมองว่าชีวิตมันไม่แน่ไม่นอน พี่ก็มีคำถามว่า ถ้าเกิดว่าพี่โดนรถชนเลยเนี่ย แล้วพี่กำลังจะตาย แล้วพี่รู้ว่าพี่กำลังจะตายพี่ต้องคิดยังไง พี่ต้องวางใจยังไง ถ้าเกิดว่าเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง พี่จะไปยังไงต่อวะ ทำไมเราจะไม่ศึกษาล่ะว่าเราจะ exit แล้ว mindset ต้องเป็นยังไงเพื่อจะไปยังไงต่อ เราเรียนรู้แล้วเราก็ค้นพบว่าโอ้โห ถ้าเราไม่เริ่มปล่อยวางจากทุกความผูกพันเราจะตายแบบทุกข์มากนะ ถ้าเรายังยึดติดกับความรักของทุกคนในชีวิตแล้วมองว่าขาดไม่ได้ ถ้าเราไม่ซ้อมตั้งแต่วันนี้ ว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดาตอนไปมันจะทรมานมาก พี่ก็ไม่อยากจะประมาท พี่อยากไปด้วยความสบายใจ ก็เลยเตรียมตัวแล้วก็คิดเสมอว่าถ้าจะไปในที่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมมันต้องเป็นยังไง”

เป็นการเตรียมตัวตายดี?

“ใช่ เดี๋ยวนี้มันมีสมุดเบาใจ ดีมากเลย มันเขียนเลยว่าแบบว่า จะตายที่โรงพยาบาล หรือตายที่บ้าน ถ้าเกิดว่าต้องต่อท่อ จะต่อไหม จะฝากอะไรไว้ พี่น่ะคิดถึงขั้นที่จะจัดตั้งองค์กรหนึ่งเพื่อการดีไซน์งานศพ พี่คิดว่าเราควรจะออกแบบแม้กระทั่งงานศพตัวเอง เลือกเลยว่ากี่วันคุณจะไปวัดไหน เพราะบางคนบอกไง โอ้ยตายไปแล้วไม่ต้องคิดอะไรหรอก เฮ้ยคุณจะทิ้งภาระให้คนอื่นได้ยังไง คุณเกิดมาในชีวิตอ่ะคุณต้องจัดการบริหารชีวิตตัวเองถึงนาทีสุดท้ายรวมไปถึงงานศพของตัวคุณเอง คุณต้องดีไซน์ทั้งหมด”

“พี่นี่ระบุชัดเจนว่าแช่โลงเย็นไม่ฉีดฟอร์มาลีน เพราะพี่อยากให้เขาเห็นหน้าของพี่เหมือนเดิม มันอาจจะไม่เป็นแบบที่ยูต้องการ 100% อย่างน้อยคนที่ตามมาเค้าก็ไม่ต้องไปนั่ง worry ไง แม้กระทั่งค่างานศพคุณก็ต้องออกไปก่อนล่วงหน้า ทำสัญญากับออแกไนเซอร์ วัด ให้มันเสร็จเรียบร้อย คุณก็ต้องจ่ายค่างานศพตัวเอง พอมันเสร็จแล้วมันเบา มันหมดความกังวล แล้ววินาทีที่ต้องไปด้วยอุบัติเหตุ หรือแค่ด้วยตามธรรมชาติเนี่ยมันจะไปแบบเบา พี่เชื่อว่าเวลามันไปแบบเบามันจะลอยขึ้นไป แต่ถ้ามันไปแบบหนักมันจะลง เราก็ใช้ฟิสิกส์อ่ะมันจะขึ้นหรือมันจะลง พี่สนใจเรื่องความตายมากเป็นพิเศษแต่ไม่ค่อยพูด”

เชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งมุมมองหลายๆมุมของพิธีกรคนเก่ง วู้ดดี้ วุฒิธร ที่ไม่ค่อยได้เปิดเผยที่ไหน ใครจะไปเชื่อว่า วู้ดดี้ จะคิดและวางแผนเรื่องของความตาย เพื่อไม่ให้เดือดร้อนคนข้างหลังนั้นเองค่ะ

คลิปอีจันแนะนำ