
ชื่อ "ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" กับภาพจำในชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ กลับมาอยู่ในหน้าสื่ออีกครั้ง หลังปลายเดือน ธ.ค. 65 เขาเปิดหน้าชนกับความไม่เป็นธรรม และอ้าแขนปกป้องข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ต้องจ่ายเงินให้กับ นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยหลักฐานการเข้าบุกจับ “รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา” อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ
ป.ป.ช.-ปปป.ค้นห้องทำงานพบเงินสดบรรจุในซองอื้อรวมกว่า 5 ล้านบาท
ประโยคที่ “ชัยวัฒน์” ให้สัมภาษณ์หลังเข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อแจ้งเอาผิดนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งบ่งบอกได้ถึงความรักพี่น้องผู้พิทักษ์ป่าและยอมเอาชีวิตเข้าแลก คือ "ผมเหมือนผูกระเบิดติดตัว พลีชีพอะ แต่ทำอย่างนี้แล้ว... ลูกน้องอีกหลายร้อยครอบครัวมีความสุข...ผมก็มีความสุข"
ที่สุดแล้วผลการสอบออกมาว่า “รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา” อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ถูกแจ้งข้อหาเรียกรับผลประโยชน์และเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยทุจริต โดยวันที่ 3 ก.พ.66 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ลงนามในเอกสารสรุปผลการสอบสวนวินัยร้ายแรง นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา เรียกรับผลประโยชน์จากข้าราชการหน่วยงานในสังกัดกรมอุทยานฯ โดยให้ออกจากราชการไว้ก่อน มีผลทันที
คล้อยหลังเดือนเศษ วันที่ 17 ก.พ.66 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ลงนามคำสั่งเรื่องย้ายข้าราชการ ระดับ 9 (อำนวยการสูง) ในกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด หลายตำแหน่ง หนึ่งในนั้นมีชื่อนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) ย้ายเป็น ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
วันนี้ชื่อ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" กลับมาผงาดในฐานะ ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้อย่างงามสง่าและสมศักด์ศรีแห่งผู้พิทักษ์ผืนป่า
ย้อนประวัติ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" กับเส้นทางที่มีแต่ขวากหนาม
ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร เป็นชาวอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ชื่อเล่นว่า อี่ เกิดวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2507 ปัจจุบันอายุ 59 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต การจัดการทรัพยากรป่าไม้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ปริญญาโท วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต การบริหารทรัพยากรป่าไม้ คณะวนศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เส้นทางการทำงาน
-เคยดำรงตำแหน่ง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2551 จนถึงปี 2557
-เคยเป็นหัวหน้าชุดพญาเสือ (สามารถตรวจสอบ จับกุม การกระทำผิดตามพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติได้ทั่วประเทศ)
-นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษส่วนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง)
-ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 10 (อุดรธานี)
–ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี)
-ปัจจุบัน ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
ห้วงเวลาที่ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" เป็นข่าวดัง
– ปี 2554 นำกำลังเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แก่งกระจาน เข้ารื้อ-เผาที่พักอาศัยชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย (ใจแผ่นดิน) อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เพื่อผลักดันออกจากผืนป่าอุทยานฯ แก่งกระจาน นำมาสู่คดีต่อสู้ระหว่าง ปู่คออี้ ผู้นำกะเหรี่ยง ที่ยื่นฟ้องกรมอุทยานฯ และนายชัยวัฒน์ ต่อศาลปกครองกลาง
–ปี 2554 เข้าช่วยกู้เฮลิคอปเตอร์ตกในอุทยานฯ แก่งกระจาน เหตุการณ์สูญเสียทหารและสื่อมวลชน รวม 17 ราย จนได้รับฉายาว่า “วีรบุรุษแก่งกระจาน” และได้รับประกาศนียบัตรเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี 2554 จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
-ปี 2557 ยอมรับว่าควบคุมตัวนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ หลานชายปู่คออี้ ฐานครอบครองน้ำผึ้งก่อนสูญหายไป
– ปี 2561 ระหว่างเป็นที่ปรึกษา หน่วยฯ พญาเสือ ได้ร่วมการตรวจหาพยานหลักฐานคดียิงเสือดำ คดีใหญ่ครึกโครมแห่งปีสะท้านแวดวงอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีซีอีโอบริษัทยักษ์ตกเป็นจำเลย
– พฤศจิกายน 2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อนุมัติหมายจับนายชัยวัฒน์ กับลูกน้องอีก 3 คน ในคดีการเสียชีวิตของบิลลี่
-พฤศจิกายน 2562 นายชัยวัฒน์ นำลูกน้องพร้อมทนายความ เดินทางเข้ามอบตัวสู้คดีต่อดีเอสไอ
-มกราคม 2563 อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 มีคำสั่งไม่ฟ้องหลายข้อหา ในคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งสำนวนคดีอาญาให้สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาคดีระหว่าง น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ กับพวกรวม 2 คน ผู้กล่าวหา นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร, นายบุญแทน บุษราคัม, นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และนายกฤษณพงศ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 1-4 นั้น
อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ได้จ่ายสำนวนให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 พิจารณา ตั้งคณะทำงาน โดยคณะทำงานร่วมกันตรวจพิจารณาสำนวนแล้วเห็นว่า สำหรับข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานพอฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 จึงเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1-3 ในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/2, 172 และเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4 ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น
ส่วนข้อกล่าวหาอื่น คณะทำงานเห็นว่าทางคดีไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใดๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำผิด มีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง
สำหรับข้อหาร่วมกันฆ่าบิลลี่ คณะทำงานเห็นว่า ในชั้นนี้พยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่เช่นกัน
ซึ่งต่อมาทางอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นเเย้งคำสั่งของอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 ตามขั้นตอนจึงต้องส่งให้จนอัยการสูงสุดชี้ขาดในครั้งนี้
-27 กรกฎาคม 2565 ศาลปกครองเพชรบุรี มีคำสั่งทุเลาบังคับคดีให้นายชัยวัฒน์ อดีต ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) กลับเข้ารับราชการไว้ก่อน หลังถูกปลดปมเผาทรัพย์สินชาวบ้านบางกลอย ตามคำสั่ง ทส.ลงวันที่ 2 เม.ย.2564
-29 กันยายน 2565 ศาลปกครองเพชรบุรี มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ช.) ตามคำสั่งของ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ลงวันที่ 2 เม.ย.2564 ที่สั่งลงโทษ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ให้ออกจากราชการ โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกคำสั่งดังกล่าว โดยกลับมารับราชการระดับซี 9 เหมือนเดิม แต่เป็นตำแหน่งเฉพาะตัว
-17 กุมภาพันธ์ 2566 ทส. ลงนามคำสั่งเรื่องย้ายข้าราชการ ระดับ 9 (อำนวยการสูง) ในกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด หลายตำแหน่ง ชื่อ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” ผงาดขึ้น ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
จะเรียกว่า “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” คือ ข้าราชการผู้พิทักษ์ผืนป่าที่ฆ่าไม่ตาย เปรียบดั่งแมวเก้าชีวิตก็ไม่ผิดนัก