
เรื่องโควิด 19 ให้พูดก็ไม่จบ เพราะมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สายพันธุ์ CH 1.1 ต้องจับตาให้มั่น
วันนี้ (31 ม.ค.66) เฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics (ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี) โพสต์ถึงสายพันธุ์โควิดที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า ตอนนี้หลายฝ่ายกำลังจับตาโอมิครอน "CH.1.1" ที่พบการระบาดใหญ่ในนิวซีแลนด์ มีการกลายพันธุ์หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้เหนือกว่า BQ.1.1 และ XBB.1.5 และมีโปรตีนส่วนหนามบางตำแหน่งเหมือนกับสายพันธุ์เดลต้าที่สามารถก่อให้เกิดการหลอมรวมของเซลล์ที่อยู่ใกล้ชิดติดกันเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ (fusogenicity) ดึงดูดให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้ามาทำลายเกิดอาการอักเสบที่รุนแรงขึ้น
CH.1.1 พบเริ่มอุบัติขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเดือนพฤศจิกายน 2565 จากนั้นแพร่ระบาดไปยังสหราชอาณาจักรและนิวซีแลนด์โดยมีส่วนแบ่งการระบาด 25% และ 40% ตามลำดับ
ขณะนี้ตัวอย่างที่ถูกสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมจากทั่วโลกและแชร์ข้อมูลบนฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID” พบเป็นโอมิครอน CH.1.1 ประมาณ 10%
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (US-CDC) แถลงว่าขณะนี้ พบโอมิครอน CH.1.1 แพร่ระบาดในสหรัฐร้อยละ 1.5%
ฮ่องกงและปาปัวนิวกินี มีผู้ป่วยราวหนึ่งในสี่ของประเทศติดเชื้อโอมิครอน CH.1.1 ในขณะที่มีผู้ติดเชื้อในกัมพูชาและไอร์แลนด์ประมาณหนึ่งในห้าเป็นเชื้อโอมิครอน CH.1.1
ประเทศไทยตรวจพบโอมิครอน CH.1.1 จำนวน 168 รายจากการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมและแชร์ข้อมูลไว้บนฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID” โดยมีส่วนแบ่งการระบาดภายในประเทศ 5 %
ทำไมโอมิครอน CH.1.1 ถึงน่ากังวล?
โอมิครอน CH.1.1 มีการกลายพันธุ์บริเวณส่วนหนามที่ตำแหน่งกรดอะมิโน“L452R” ที่เหมือนกับสายพันธุ์เดลตา (โอมิครอนปรกติจะไม่มีการกลายพันธุ์ตรงตำแหน่งนี้) ซึ่งอาจก่อให้เกิดการติดเชื้ออาการรุนแรง เช่นเดียวกับสายพันธุ์เดลตา เนื่องจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่าส่วนหนามที่กลายพันธุ์ไปสามารถจับกับผิวเซลล์ของผู้ติดเชื้อได้หลากหลายอวัยวะนอกเหนือไปจากเซลล์ปอด ก่อให้เกิดการหลอมรวมของเซลล์ที่อยู่ใกล้ชิดติดกันเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ (fusogenicity) ดึงดูดให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้ามาทำลายเกิดอาการอักเสบที่รุนแรงขึ้น
โอมิครอน CH.1.1 ไม่ใช่ “เดลทาครอน” ที่มีการแลกเปลี่ยนบางส่วนของสายจีโนมระหว่างสายพันธุ์เดลต้าและโอไมครอน แต่เป็นรุ่นเหลนของโอมิครอน BA.2.75 เป็นตัวอย่างสำคัญของการวิวัฒนาการที่กลับมาบรรจบกัน (convergent evolution) กล่าวคือสายพันธุ์ของโควิดมีวิวัฒนาการอย่างอิสระแต่กลับมีการกลายพันธุ์ในรูปแบบเดียวกัน (ระหว่างสายพันธุ์เดลตาและโอมิครอน) อันเนื่องมาจากแรงกดดันจากภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและการติดเชื้อตามธรรมชาติในหมู่ประชากร
ดร. คอร์นีเลียส โรเมอร์ (Cornelius Romer) นักชีวสารสนเทศ จากมหาวิทยาลัยบาเซิลในสวิตเซอร์แลนด์ มีความเห็นว่าโอมิครอนลูกผสม XBB.1.5 ยังคงเป็นสายพันธุ์โควิดที่สามารถแพร่เชื้อได้มากที่สุด จากข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 อย่างไรก็ดีควรเฝ้าระวังโอมิครอน CH.1.1 เพราะสามารถแพร่เชื้อได้รวดเร็วเช่นกัน โดยเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นสองเท่าในทุกสองสัปดาห์หรือมากกว่านั้น
นอกจากนี้โอมิครอน XBB.1.5, BQ.1.1, CH.1.1, และ CA.3.1 ดื้อหรือหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ได้จากการฉีด mRNA ดั้งเดิม (monovalent vaccine) จำนวน 3 เข็มได้อย่างสมบูรณ์ ในขณะที่ผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA ดั้งเดิมครบโดส 3 เข็มตามด้วยวัคซีน mRNA เข็มกระตุ้นสองสายพันธุ์ (bivalent booster) อีกหนึ่งเข็มจะมีภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน XBB.1.5, BQ.1.1, CH.1.1, และ CA.3.1 อยู่บ้าง
การสวมแมสก์เมื่อออกนอกบ้านยังสำคัญในการป้องกันโควิด 19