(21 มี.ค.65) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร พร้อมทนาย เดินทางไปศาลปกครองจังหวัดเพชรบุรี ยื่นหนังสือต่อศาล โดยมีประเด็นดังนี้
1.ขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษา หรือ คำสั่งให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ที่มีมติปลด นายชัยวัฒน์ ออกจากราชการ
2.ให้มีคำพิพากษา หรือ คำสั่งเพิกถอนคำสั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มีคำสั่งปลดนายชัยวัฒน์ ออกจากราชการตามมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
3.ขอให้ศาลปกครองเพชรบุรีมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและมีคำสั่งให้ นายชัยวัฒน์ กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่าตำแหน่งเดิมต่อไป
การยื่นหนังสือในวันนี้ สืบเนื่องจาก นายชัยวัฒน์ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อ คณะกรรมการระบบพิทักษ์คุณธรรม (กพค.) ไปเมื่อวันที่ 7 พ.ค.64 ซึ่งเป็นการยื่นภายใน 30 วัน นับตั้งแต่ได้รับทราบคำสั่ง
ซึ่งคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมมีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน
แต่ขณะนี้เลยเวลาที่กำหนดมาแล้ว 75 วัน กพค. ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยแต่อย่างใด
ต่อมา นายชัยวัฒน์ ได้ยื่นหนังสือเพื่อสอบถาม ถึงผลการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของ กพค.
และทาง กพค. ได้มีหนังสือตอบกลับมาว่า เรื่องดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาดำเนินการโดยมีหนังสือแจ้งไปยังเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเพื่อขอรายงานการสอบสวน สำนวนการสอบสวน และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐมาประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม
นายชัยวัฒน์ เห็นว่า หาก กพค. ไม่ได้มีคำวินิจฉัยภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ย่อมเป็นการ ดำเนินกระบวนการพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เสมือนเป็นการประวิงระยะเวลาการพิจารณาออกไปโดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจกระทำได้ ย่อมเป็นที่เสียหายต่อผู้ฟ้องคดีที่จะมีโอกาสกลับเข้ารับราชการ
โดย นายชัยวัฒน์ เหลือระยะเวลาที่อาจรับราชการได้เพียงแค่ ไม่เกิน 2 ปีเท่านั้น จึงจำเป็นต้องนำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพชรบุรีเพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่งต่อไป
นายชัยวัฒน์ เปิดใจกับอีจันว่า “ยังศรัทธาและเคารพการตัดสินของระบบพิทักษ์คุณธรรม ยังเชื่อมั่น และเคารพในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งชื่อหน่วยงาน คณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม เป็นชื่อที่มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ทั้งนี้ ยังรอคอยอย่างมีความหวังจาก กพค. หวังว่าจะพิจารณาด้วยความถูกต้อง พร้อมหลักฐานที่มี เชื่อว่า จะได้มีโอกาสกลับไปรับข้าราชการ”