ชัยวัฒน์ ยื่นอุทธรณ์ คำสั่งปลดออกจากราชการ หลัง ป.ป.ท. ชี้มูลความผิดปมเผาบ้าน ปู่คออี้

ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ยื่นอุทธรณ์ ก.พ.ค. กรณีถูกปลดออกจากราชการ หลัง ป.ป.ท. ชี้มูลความผิดปมเผาบ้าน ปู่คออี้

จากกรณีที่ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผู้อำนวยการ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 อุบลราชธานี ถูกปลดออกจากราชการ หลังจากที่ประชุม อ.ก.พ.ทส. มีมติเห็นชอบตามที่ คณะกรรมการ ป.ป.ท. ชี้มูลความผิด ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ม.157 และมีมติให้ออกจากราชการ กรณีเผาบ้าน ปู่คออี้ กะเหรี่ยงแก่งกระจาน

ความคืบหน้าล่าสุด (7 พ.ค. 64) มีรายงานว่า ที่สำนักพิทักษ์ระบบคุณธรรม สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผู้อำนวยการ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 อุบลราชธานี ได้เดินทางไปยื่นหนังสืออุทธรณ์คำสั่ง ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม กรณีที่ อ.ก.พ.ทส. มีคำสั่งปลดออกจากราชการ โดยการยื่นหนังสือครั้งนี้มี 2 ส่วน คือ

1. ยื่นหนังสืออุทธรณ์คำสั่ง เรื่องการปลดออกจากราชการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

2. ยื่นหนังสือขอทุเลาคำสั่ง เพื่อขอรับราชการก่อน จนกว่าคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมจะมีความเห็นต่อไป

หลังจากยื่นหนังสืออุทธรณ์คำสั่ง และหนังสือขอทุเลาคำสั่ง เสร็จเรียบร้อยแล้ว นายชัยวัฒน์ ได้เปิดเผยว่า ตามคำฟ้องของศาลปกครองกลาง ที่ปู่คออี้รวมกับชาวบ้านบ้านบางกลอยบนและบ้านใจแผ่นดิน จ.เพชรบุรี รวม 6 คน ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช คดีนำกำลังเข้ารื้อทำลายเผาบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยง โดยผู้ฟ้องอ้างว่าอาศัยอยู่ที่พื้นที่ใจแผ่นดินและบางกลอยบน แต่ไม่ได้ระบุว่าเพิงพักของผู้ฟ้องคดีนั้นตั้งอยู่บริเวณใด อยู่ทิศใดของพื้นที่ใจแผ่นดินหรือบางกลอยบน หรืออยู่ใกล้เคียงกับภูมิประเทศของพื้นที่ใจแผ่นดินและบางกลอยบนในส่วนใด หรืออยู่ใกล้เคียงกับพิกัดที่มีการปฏิบัติการตามยุทธการตะนาวศรี ในครั้งที่ 4 ในส่วนใด คำกล่าวหาตามคำฟ้อง จึงเป็นการกล่าวอ้างเถื่อนลอย เคลือบคลุม ไม่มีจุดหมาย ซึ่งตนไม่มีโอกาสได้ชี้แจงให้การต่อสู้คดีในศาลปกครองกลาง เนื่องจากตนไม่ได้เป็นผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่สามารถนำข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างๆ มาชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบริเวณพื้นที่ ที่เกิดเหตุได้

นอกจากนี้ คำให้การของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คน ให้การขัดแย้งกันไม่น่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง ตามคำฟ้องศาลปกครองกลางที่กล่าวอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คน อาศัยทำกินอยู่พื้นที่ใจแผ่นดินและบางกลอยบน แต่กลับให้การคัดค้านคำให้การของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองโดยให้การต่อศาลปกครองกลาง ว่า

ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คน ตั้งบ้านเรือนและทำกินอยู่ในป่าแก่งกระจาน แต่ต่อมาผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คน กลับให้การขัดแย้งแตกต่างไปจากที่ฟ้อง ซึ่งจุดที่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คน กล่าวอ้างในคำคัดค้านนั้นไม่ใช่พื้นที่ใจแผ่นดิน บางกลอยบน แต่เป็นบริเวณห้วยสามแพร่งที่เป็นบ้านนายนอแอะ มีมิ

ส่วนคำฟ้องที่อ้างว่าบ้านหรือเพิงพักถูกเผาในช่วงวันที่ 5-9 พ.ค. 2554 ข้อเท็จจริงคือ บ้านหรือเพิงพัก ถูกเจ้าหน้าที่เผา ทำลาย หลังจากได้เกี่ยวข้าวในเดือน ต.ค. 2554 เสร็จแล้วผ่านไป 1 เดือน ย่อมหมายถึงเดือน พ.ย. หรือ ธ.ค. 2554 ซึ่งความจริงแล้วถูกเผาในช่วงเดือน พ.ย. หรือเดือน ธ.ค. 2554 ไม่ใช่วันที่ 5-9 เดือน พ.ค. 2554 และคำให้การของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คน รับฟังไม่ได้ว่าเพิงพักของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คน อยู่ที่พื้นที่ ใจแผ่นดินและบางกลอยบน และถูกเผาในวันที่ 5 – 9 พ.ค. 2554 ตามที่กล่าวอ้าง รวมถึงไม่มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานใดที่พิสูจน์ได้ว่าเพิงพักของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คน มีอยู่จริงหรือไม่ และอยู่ที่ใด ถูกเผาจริงหรือไม่ และใครเป็นคนเผาหรือได้รับคำสั่งจากใครให้เผา

คดีนี้ เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2558 นายคออี้ มีมิ ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ตน ในฐานะหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ต่อพนักงานสอบสวน สภ.แก่งกระจาน ให้ดำเนินคดีข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ แต่ไม่มีใครเคยเข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ ไม่มีการนำผู้เสียหายไปชี้ที่เกิดเหตุ ไม่ทำแผนที่เกิดเหตุ ไม่ระบุพิกัด ให้ชัดเจนว่าเพิงพักหรือที่อยู่อาศัย และทรัพย์สินของผู้ที่กล่าวหานั้น อยู่บริเวณพิกัดใด และมีความเสียหายอย่างไร รวมถึงไม่มีภาพถ่ายประกอบสถานที่เกิดเหตุ ให้ชัดเจนว่ามีบ้านหรือเพิงพักที่อ้างว่าถูกเผานั้นมีอยู่จริง และมีร่อยรอยการเผาจริง

และไม่มีการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดว่ามีพฤติการณ์การกระทำความผิดตั้งแต่วันใดถึงวันใด ผู้กระทำความผิดคือใคร รวมถึงไม่นำหน่วยงานพิสูจน์หลักฐานเพื่อเก็บหลักฐาน วัตถุพยานทั้งหมดเท่าที่ทำได้ แต่คณะกรรมการ ป.ป.ท. กลับมีมติชี้มูลความผิดตน ตามมาตรา 157 โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดว่า ตนเป็นผู้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เผาบ้านของปู่คออี้ และชาวบ้าน ทั้งที่ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลปกครองก็ปรากฏชัดเจนว่า คำฟ้องของ ปู่คออี้ และชาวบ้าน กล่าวอ้างว่าอาศัยอยู่ที่พื้นที่ใจแผ่นดินและบางกลอยบน ซึ่งมีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาลใกล้เคียงกับจังหวัดสมุทรสงครามทั้งจังหวัด แต่ไม่ระบุว่าเพิงพักนั้นตั้งอยู่บริเวณใด คำกล่าวหาตามฟ้องจึงเป็นการกล่าวอ้างเลื่อนลอย เคลือบคลุม ไม่มีจุดหมาย

ที่สำคัญที่สุด ป.ป.ท. ก็ไม่เคยเข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ ไม่นำผู้เสียหายไปชี้ที่เกิดเหตุ ไม่ทำแผนที่เกิดเหตุ ไม่ระบุพิกัด ให้ชัดเจนว่าเพิงพักหรือที่อยู่อาศัย และทรัพย์สินของผู้ที่กล่าวหานั้น อยู่บริเวณพิกัดใด จุดใดและมีความเสียหายอย่างไร ไม่มีภาพถ่ายประกอบสถานที่เกิดเหตุให้ชัดเจนว่ามีบ้านหรือเพิงพักที่อ้างว่าถูกเผานั้นมีอยู่จริงและมีร่องรอยการเผาจริง หรือไม่จึงยังเป็นข้อสงสัยไม่มีข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติได้เลย

นายชัยวัฒน์ บอกด้วยว่า ตนรับราชการสนองคุณแผ่นดินมากว่า 30 ปี ไม่เคยทุจริต รับสินบนในการปฏิบัติหน้าที่ การเดินทางมาที่ สำนักพิทักษ์ระบบคุณธรรม สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ในวันนี้ก็เพื่อขอให้คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ให้ความเป็นธรรมกับตนด้วย รวมถึงขอทุเลาคำสั่งให้กลับไปรับราชการในตำแหน่งเดิมต่อไป

ขณะที่ในส่วนของการยื่นหนังสือต่อ ก.พ.ค. นั้น นายชัยวัฒน์ ระบุว่า ก.พ.ค. จะพิจารณาใน 60 วันแรก ซึ่งจะดูว่าข้อมูลที่ตนยื่นไป ถ้าเห็นว่ามันไม่ถูกต้องจากการชี้มูลของ ป.ป.ท. หรือ อ.ก.พ.ทส. ก.พ.ค. ก็จะสามารถออกคำสั่งให้เรากลับมารับราชการก่อนได้ จนกว่า อ.ก.พ.ทส. จะมีคณะกรรมการตัดสินอีกที ซึ่งตรงนี้ก็เป็นความหวังของเราที่จะขอความเมตตา

เราตื่นมาทุกเช้า เราคิดถึงงาน คิดถึงการปกป้องป่า แต่วันหนึ่งพอถูกปลด ตื่นเช้ามา แม้เรายังยิ้มได้ แต่มันก็เป็นการฝืนยิ้ม การถูกปลดของเรามันไม่ได้ชอบธรรม เรารู้ตัวเราเองว่าเราผิดหรือถูก เพราะทำงานมาตลอดชีวิต เราทำประโยชน์ต่อประเทศชาติ สิ่งดีงามที่เรามีอยู่ในชีวิตเราที่ผ่านมา
นายชัยวัฒน์ กล่าว