พระมหาไพรวัลย์ ชี้ อาลัวคุณไสย เหมาะสมหรือไม่ แล้วแต่คนจะมอง

พระมหาไพรวัลย์ ตอบชัด อาลัวคุณไสย เป็นเครื่องทดสอบความเข้าใจใน ศาสนาพุทธ ถ้าไม่เหมาะสม คงต้องให้ กระทรวงเวทมนตร์ มาตรวจสอบ !

หลังจากวานนี้ (6 พ.ค.64) ร้านมาดามชุบ ได้เปิดเผยสินค้าใหม่ อาลัวคุณไสย ที่มีทั้ง ควายธนู ผ้ายันต์ ตะกรุด และอีกมากมาย หลังจากเมื่อช่วงสิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เกิดกระแสดราม่า จากอาลัวพระเครื่อง ที่ทางสำนักพุทธฯ สั่งห้ามไม่ให้ทำ เหตุเพราะ ไม่เหมาะสม และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย ?

มาดามชุบ ครีเอท อาลัวคุณไสย ตามคำเเนะนำ พระมหาไพรวัลย์ หลังเกิดดราม่า อาลัวพระเครื่อง

เมื่อ อาลัวพระเครื่อง ทำไม่ได้ อาลัวคุณไสย เลยมาแทน ซึ่งไอเดียนี้ เป็นของ “พระมหาไพรวัลย์”

วันนี้ (7 พ.ค.64) อีจันเลยขอสัมภาษณ์หลวงพี่ไพรวัลย์ ผ่านทางวิดีโอ ถึงกรณีดังกล่าว

พระมหาไพรวัลย์ ตอบว่า ไอเดียคุณไสยนี้เป็นของตน เพราะตนเห็นความครีเอทของเจ้าของร้านที่ทำอาลัว เป็นแม่ค้าที่มีฝีมือ ทั้งอาลัว ทั้งลูกชุบ ส่วนประเด็นก่อนหน้านี้ ที่มีกระแสดราม่า อาลัวพระเครื่อง ที่คนมองว่ามันไม่เหมาะสมนั้น ตนมองว่าไหนๆ ร้านก็มาแนวนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นทำไม่ไม่ลองทำอาลัวคุณไสยไปเลย เพราะ คนไทยชอบเรื่องไสยศาสตร์ การทำ อาลัวคุณไสย อาจจะตอบโจทย์สังคมไทยมากกว่า แต่ไม่ได้แนะนำให้ทำเพื่อสนับสนุนความงมงาย

ส่วนในตอนที่สำนักพุทธฯ ลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่ร้านของ มาดามชุบ แม่ค้าคนนั้นน่าสงสารมาก เจ้าหน้าที่ไปกันเยอะเหมือนเขาทำความผิด ขายยา หรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งตนก็ให้กำลังใจไป ถ้าเราคิดว่าเราประกอบสัมมาอาชีพ ก็คือ ทำอาชีพค้าขายอย่างสุจริต ก็ไม่ต้องกังวลอะไร ส่วนเรื่องของ อาลัวพระเครื่อง มันอยู่ที่มุมมองของคน ศาสนาเมื่อถูกเปลี่ยนรูปแบบมาอยู่ในรูปแบบของขนม มันไม่ได้ให้โทษกับใคร แล้วมันเป็นความเสียหายน้อยกว่าที่ใครหลายๆ คนเอาศาสนาไปค้าขายอวดอ้างสรรพคุณแบบไสยศาสตร์ ซึ่งปัญหา ที่ศาสนาพุทธถูกเอาไปใช้เป็นเครื่องมือของการส่งเสริมการมอมเมาคน สำนักงานทั้งหลายที่เห็นแก่ความดีงามของพระพุทธศาสนา กลับไม่เคยลงไปจัดการเลย ทั้งนี้ทั้งนั้น การกระทำเหล่านี้ เป็นการจัดลำดับความสำคัญที่ไม่ค่อยถูก เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่หน่วยงานควรเข้าไปดูแลมากกว่า

ส่วนในทางศาสนาพุทธ ไม่ได้มีข้อห้ามหรือบทบัญญัติ ที่ห้ามฆราวาสเอาพระมาทำขนม และสิ่งที่ควรจะมีตั้งแต่แรก คือ ห้ามพระภิกษุ การเอาพระพุทธเจ้าไปทำเรื่องที่เป็นเดรัจฉานวิชา อันนี้มีข้อห้ามชัดเจน และมีในพระไตรปิฎก ว่าอย่าประกอบอะไรที่มันเป็นอเนสนากรรม ก็คือการเลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชา ปลุกเสก แต่ในสังคมไทยก็ยังทำกันมากมาย

เหตุการณ์นี้ได้ให้แง่คิดอย่างหนึ่ง คือ คนไทยไม่ค่อยพอใจเวลา เห็นศาสนาหรือความเชื่อถูกทำในลักษณะล้อเลียน ศิลปะ หรือ ในลักษณะรูปแบบอื่นๆ ในทางที่ไม่ใช่เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ เลยทำให้คนไทยรู้สึกไม่พอใจ และรับไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน คนไทยกลับยอมรับได้ เมื่อศาสนาหรือความเชื่อ ถูกทำให้เป็นเครื่องมือสำหรับมอมเมาคน

เหตุการณ์นี้ก็เป็นเครื่องทดสอบในเรื่องความรู้ ความเข้าใจในศาสนาพุทธ ว่าเรามองศาสนายังไง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะออกมาพูดหรือวิจารณ์ได้ ซึ่งสังคมไทยควรเป็นสังคมที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้แบบนี้

ก่อนที่หลวงพี่ไพรวัลย์ จะทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ขนมไม่ว่าอาลัวพระเครื่อง หรือ อาลัวคุณไสย คนซื้อไป ไม่มีทางโดนหลอก ไม่ต้องกลัวขนมหรอก กลัวอะไรที่ถูกอ้างมันศักดิ์สิทธิ์เถอะ อันนั้นแหละมันจะหลอกเงินในกระเป๋าของเรา ส่วนอาลัวคุณไสย ตนมองว่าไม่น่าจะผิดอะไร เพราะ ประเทศไทยไม่ได้มี กระทรวงเวทมนตร์ ที่จะเข้ามาจัดการเรื่องนี้