เกือบตาย! เม จีระนันท์ เผยอุทาหรณ์ศัลยกรรมเกาหลี ติดเชื้อรุนแรง

เม จีระนันท์ อดีตนักร้อง RS เผยอุทาหรณ์ศัลยกรรมเกาหลี หวิดเสียชีวิต

อีกเรื่องราวศัลยกรรมทำพิษ ที่ครั้งนี้นักร้องสาว เม จีระนันท์ เจอกับตัวเอง และได้แบ่งปันให้อีจัน นำมาเล่าเพื่อให้เป็นอุทาหรณ์ของคนที่อยากทำศัลยกรรม ซึ่งเธอเรียบเรียงเรื่องราวไว้แล้ว กว่า 13 Part 

ขอบคุณภาพ : Sanook


Part 1 : ทำไมถึงตัดสินใจทำศัลยกรรม และเลือกรพ. เอเจนท์นี้


เมไม่ได้บอกว่า การทำศัลยกรรมไม่ดี หรือไม่ควรทำนะคะ แต่เมออกมาพูด เพื่อแชร์ประสบการณ์ในอีกมุมหนึ่งที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง บทเรียนครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดพลาดของเมเอง ที่ไปหลงเชื่อและไว้ใจ เอเจนท์กับโรงพยาบาลผิด !! ดูเพียงแค่การโฆษณา รีวิว อวดอ้างชื่อเสียงของ รพ.และเอเจนท์


“ศัลยกรรม” ได้เปลี่ยนชีวิตคนจำนวนหนึ่ง ในทางที่ดีขึ้น และเมขอบอกเลยว่า คนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ คุณคือคนที่โชคดีมาก แต่ในทางกลับกัน “ศัลยกรรม” ก็ได้เปลี่ยนชีวิตคนจำนวนไม่น้อย ในทางที่เลวร้าย บางคนเสียโฉม ทุพพลภาพ ถึงแก่ความตาย บางคนแม้ไม่ตาย แต่ก็เหมือนตายทั้งเป็น ซึงเมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่เกือบต้องเสียชีวิต จากการทำศัลยกรรม !!


นี่เป็นการทำศัลยกรรมครั้งแรกในชีวิตของเมเลยค่ะ เมทำธุรกิจขายเสื้อผ้า เป็นนางแบบด้วยตัวเอง แต่เมรูปร่างเล็ก สัดส่วนดูเหมือนเด็ก จึงอยากเสริมหน้าอก เพื่อให้ใส่เสื้อผ้าสวย ประกอบกับอายุที่มากขึ้น หนังตาของเมเริ่มหย่อนคล้อย ชั้นตาทั้งสองข้างไม่เท่ากัน และเมก็มีแพลนที่จะกลับมาร้องเพลงอีกครั้ง (เมเคยเป็นนักร้องนักแสดง สังกัด RS มาก่อนค่ะ) จึงอยากเสริมบุคลิกและความมั่นใจ


เมคิดว่าตัวเองได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว โดยเลือกเอเจนท์ชื่อดังให้ดูแล ซึ่งก็คือ คุณ อ. กับ โรงพยาบาล ก เป็นรพ.ใหญ่ มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของเกาหลี (คุณ อ. บอกว่ายังงั้น) โดยดูจากการโฆษณารีวิวลูกค้า มีทั้งดารา เซเล็ป เน็ตไอดอล คุณ อ.บอกกับเมว่าลูกค้าเค้ามีทั้ง นักการเมือง ไฮโซ ดารา คนไทยที่เค้าพามาทำศัลยกรรมที่นี่ เดือนนึงไม่ต่ำกว่า 50-60 คน
#ซีรีย์เกาหลี #ศัลยกรรมทำพัง

ภาพจากอีจัน


Part 2 : รพ. เอเจนท์ขายฝัน ปิดการขาย จ่ายไม่มีใบเสร็จ ไม่มีสัญญา


เมนัดเจอกับคุณ อ. ที่เกาหลี ที่รพ. ก กลางเดือน พ.ย. 60 เป็นการ Consult ครั้งแรกกับคุณหมอ ย เจ้าของรพ. เมต้องการทำ 2 อย่าง คือ ตาและหน้าอก เค้าบอกกับเมว่า ปัญหาบนใบหน้าของเม คือโหนกแก้มและคาง และแนะนำให้เมจัดโครงหน้า ทุบโหนก ดึงคางลงมาให้ยาวขึ้น เมตกใจและปฏิเสธทันที เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำเลย


แต่เค้าก็พูดโน้มน้าว ให้เมเห็นว่า การจัดโครงหน้า เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ปลอดภัย ใช้เวลาไม่นาน 45 นาทีก็เสร็จ ยังโน้มน้าวให้ทำไปพร้อมๆ กันกับการทำหน้าอกและตา เพราะต้องวางยาสลบอยู่แล้ว เจ็บครั้งเดียว ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการวางยาอีก และจะได้ส่วนลดมากกว่า ที่สำคัญคือ หน้าจะหวานขึ้น ดูเด็กลงไป 10 ปี เมก็เคลิ้มสิคะ แต่ขอตัดสินใจอีกที


ในส่วนของการทำหน้าอก เมต้องการผ่าเอาซิลิโคนเข้าทางรักแร้ เนื่องจากไม่แน่ใจว่า ตัวเองเป็นคีรอยด์หรือไม่จึงไม่อยากให้มีแผลที่ใต้ราวนม

แต่วันนั้น คุณหมอพยายามโน้มน้าว ให้เมผ่าทางใต้ราวนม โดยบอกว่าเป็นการผ่าตัดเล็ก สูญเสียเนื้อเยื่อน้อยกว่า ระยะเวลาพักฟื้นสั้นกว่า คือ 1 เดือน แต่การผ่าทางรักแร้ จะเป็นการผ่าตัดใหญ่ ใช้เวลาพักฟื้น 3 เดือน และเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า เพิ่มเงินประมาณ 40,000 บาท โน้มน้าวกันอยู่นาน

คุณหมอดูหงุดหงิด จนเมเริ่มเอะใจ จึงถามตรงๆ ว่าคุณหมอทำให้ได้หรือไม่ ไม่ชำนาญ หรือมีอะไรมั๊ย แต่เค้าก็บอกว่า ไม่มีอะไร ถ้าเมอยากทำ เค้าก็ทำได้ เพียงแต่เค้าเห็นว่า จะได้ไม่ต้องพักฟื้นนาน และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เค้าทำให้ลูกค้าได้หมด คุณ อ. เอง ที่นั่งอยู่ในห้องวันนั้น ก็ยังบอกกับเม ว่าถ้าเมอยากทำที่รักแร้ ก็ทำได้เลย ไม่มีปัญหา อย่าตามใจหมอ เอาที่เมสบายใจเลย เราก็สรุปกันวันนั้นว่าจะผ่าทางรักแร้ ซิลิโคนขนาดเล็ก 230-250 CC (แต่ไม่ได้แจ้งยี่ห้อของซิลิโคนให้เมทราบ ไม่มีการ์ดที่ระบุยี่ห้อและ serial number เหมือนที่อื่นๆ ซึ่งเมก็ไม่เคยทราบมาก่อนว่ามันต้องมี) เมขอคุณหมอมือหนึ่ง ซึ่งคุณ อ. ได้จัดคุณหมอ ล. ให้ และขอให้เมวางเงินมัดจำทันที เพื่อจะนัดคิวคุณหมอ เค้าบอกว่าคุณหมอคิวค่อนข้างแน่น ต้องจ่ายเงินมัดจำก่อน จึงจะนัดคิวได้ กำหนดวันผ่าตัด คือ 21 ธันวาคม 2560 เมจ่ายเป็นงินสด 800,000 กว่าบาท โดยที่รพ.ไม่ได้ออกใบกำกับภาษีให้ เพราะเค้าจะให้ส่วนลดเมเพิ่มขึ้นอีก 10% ค่ะ

ขอบคุณภาพ : May Jeeranan


Part 3 : ก่อนขึ้นเขียง สภาพไม่พร้อมยังฝืน ผ่าแล้วเลือดออกผิดปกติ ยังปกปิด ให้หิ้วถุงระบายเลือดกลับไทย ยังบอกว่า “ไม่เป็นไร”


วันผ่าตัด 21 ธ.ค. 60 ช่วงเช้า คุณหมอ ล. ซึ่งเป็นหมอที่ทำหน้าอกและตาให้เม จะทำการดีไซน์รูปทรงหน้าอกและตา ระหว่างนั้น เมก็หน้ามืด เป็นลม ตอนนั้น คุณแม่ตกใจมาก เพราะปกติเมไม่เคยเป็นแบบนี้ จะไม่ยอมให้เมผ่าตัดในวันนั้น ขอเลื่อนออกไปก่อน แต่คุณหมอก็เอาผลการตรวจเลือด ตรวจสุขภาพของเม มายืนยัน ว่าสุขภาพเมเป็นปกติ แข็งแรงดี สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ ที่เมเป็นลม น่าจะเกิดจากความกลัว เค้าให้เมไปให้น้ำเกลือ นอนพักสักครู่ เมื่อเริ่มมีอาการดีขึ้น จึงเข้ารับผ่าตัดในวันนั้น ตามกำหนดเดิม เค้าแจ้งว่าการผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง แต่การผ่าตัดจริงใช้เวลา 7-8 ชั่วโมง และมีถุงระบายเลือดที่รักแร้ทั้งสองข้าง


หลังการผ่าตัดเมเริ่มมีอาการปวดแสบปวดร้อนภายในทรวงอก คล้ายมีน้ำกรดไหลแสบซ่านอยู่ภายในหน้าอก ลุกเดินแทบไม่ได้ เมถามคุณหมอถึงอาการผิดปกตินี้ คุณหมอบอกว่า เป็นอาการเจ็บปวดตามปกติหลังการผ่าตัด และมันจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง
เค้าให้เมนอนที่รพ. 2 คืน แต่เมเจ็บปวดมาก ไม่สามารถลุกเดินได้เลย จึงขอคุณหมออยู่ต่ออีกคืน เป็น 3 คืน จากนั้นให้เมย้ายไปอยู่ที่โรงแรมข้างๆ รพ.ซึ่งคุณ อ. เตรียมไว้ให้ พยาบาลบอกให้คุณแม่ เอาเลือด เทออกจากถุงระบายเลือดทั้ง 2 ข้างทุกวัน
เมเจ็บปวดแสนสาหัสมาก ขยับเขยื้อนตัวแทบไม่ได้ จะลุกไปเข้าห้องน้ำ คุณแม่ต้องคอยอุ้มประคอง ป้อนข้าว ป้อนน้ำ เช็ดตัวให้ เอเจนท์ ที่เมเสียเงินเพราะคิดว่าเค้าจะดูแลเป็นอย่างดี ก็มาเยี่ยมแค่ครั้งเดียวตอนออกจากห้องผ่าตัด ถ้าเมไม่มีคุณแม่มาด้วย แล้วเมจะทำยังไง จะประคองตัว เพื่อดื่มน้ำ ทานข้าวยังแทบไม่ไหว


วันที่ 28 ธ.ค.60 ตามกำหนดที่เมจะต้องตัดไหม ถอดถุงระบายเลือดออก และเดินทางกลับไทย เมื่อมาถึง รพ. คุณแม่ได้ให้คุณหมอ ล. ดูปริมาณเลือดที่จดเอาไว้ และถามคุณหมอว่าทำไมเลือดของเม ยังออกในปริมาณมากทุกๆ วัน ไม่ลดลงเลย มีอะไรผิดปกติมั๊ย คุณหมอได้แต่ตอบว่า “ไม่เป็นไร” แต่บอกกับเมว่า เค้าจะยังไม่ถอดถุงระบายเลือดออกให้เมนะ เมต้องหิ้วถุงระบายเลือด ขึ้นเครื่องกลับไทยด้วย ซึ่งเมตกใจมาก ถามคุณหมอหลายครั้งว่า มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เพราะตามกำหนดคือ จะใส่สายระบายเลือดประมาณ 3-7 วันหลังการผ่าตัด คุณหมอก็ยังยืนยันว่า “ไม่เป็นไร ทุกอย่างเป็นปกติดี” แต่เมก็สงสัยว่า ถ้าเมกลับไทยแล้ว ใครจะเป็นคนเอาสายระบายเลือดออกให้เม ที่ไหน ยังไง

คุณหมอบอกว่า เค้าจะบินไปไทย ในวันที่ 3 ม.ค. 61 และจะเป็นคนเอาสายระบายเลือดออกให้เมเอง ที่ K คลินิก ซึ่งเป็นสาขาของรพ. ก. ในไทย ในย่านทองหล่อ เมถามคุณ อ. ว่าเคยมีใครที่ต้องหิ้วถุงระบายเลือดกลับไทยมั๊ย เค้าบอกว่า ไม่เคยมี เมเป็นเคสแรกทีต้องหิ้วถุงระบายเลือดกลับ แต่เค้าก็บอกเมว่า “ไม่เป็นไร”


คุณหมอออกใบรับรองแพทย์ ให้เมยื่นสายการบิน และขอรถเข็นจากสนามบิน ทั้งที่เกาหลีและไทย เมเดินแทบไม่ได้เลย นับเป็น 7 วันหลังการผ่าตัดแล้ว แต่เมยังคงเจ็บปวดมาก ไม่เหมือนที่คุณ อ. บอกเลย ว่าตอนที่เค้าทำ หรือลูกค้าคนอื่นๆ 3-4 วัน ก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ อาการดีขึ้นๆ เมื่อมาถึงไทย เมก็อยู่แต่ที่บ้าน นอนเป็นผัก ลุกไปไหนไม่ไหว จะไปเข้าห้องน้ำ คุณแม่ต้องคอยอุ้มให้ลุกนั่ง พยุงตัวพาไป เช็ดตัว ป้อนข้าวป้อนน้ำให้เมตลอดเวลา


อาการของเมในแต่ละวันไม่ดีขึ้นเลย เมเจ็บปวดแสนสาหัส อย่าว่าแต่เดินเลยค่ะ แค่ใครมาโดนแขนเมนิดเดียว เมก็จะเจ็บสะท้านไปทั้งตัว

ภาพจากอีจัน


Part 4 : หลังจากหมอ ล. มาถอดสายระบายเลือดที่ K คลินิกในไทย อาการทรุดหนัก แต่ยังบอกว่า “ไม่เป็นไร”


3 ม.ค. 61 เมมาพบคุณหมอ ล ที่คลินิก K ทองหล่อ ตามนัด เพื่อมาถอดสายระบายเลือด คุณแม่ได้เอากระดาษจดปริมาณเลือด ที่ออกมาในแต่ละวันให้คุณหมอดู แต่คุณหมอกลับไม่ดูเลย คุณแม่จึงบอกย้ำถามคุณหมอ ว่า เลือดของเม ออกมาเยอะทุกวัน ไม่ลดลง มันผิดปกติมั๊ย แต่คุณหมอก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร” และก็เอาถุงระบายเลือดออก เย็บปิดแผลด้วยตัวเองในวันนั้นเลย


หลังจากเอาถุงระบายเลือดออก เมก็ทรุดหนัก มีไข้สูงทุกวัน เจ็บปวดแสบปวดร้อน ในทรวงอก คล้ายมีน้ำกรดไหลซ่านอยู่ภายใน เหมือนเนื้อจะฉีกออกมา ทรมานมาก คุณแม่รายงานอาการไปยังคุณหมอ ล. ผ่านคุณ อ. เอเจนท์ คุณหมอสั่งให้เมมาที่ K คลินิก เพื่อรับยา ทั้งยาทานและฉีดยาเข้าทางเส้นเลือด โดยมีพยาบาลชาวเกาหลีเป็นคนฉีดให้ ตามที่คุณหมอ ล. สั่ง หลังจากฉีดยาแล้ว


ความเจ็บปวดของเมจะทุเลาลง แต่พอกลับถึงบ้าน กลางดึก ยาหมดฤทธิ์ ความเจ็บปวดต่างๆ ไข้หนาวสั่น อาการทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม คุณแม่รายงานอาการไปยังคุณหมอ ล. ผ่านคุณ อ. ตลอด และสิ่งที่เค้าทำ ก็คือ ให้เมมาที่ K คลินิก เพื่อมาฉีดยาเข้าเส้นเลือด !!

เป็นแบบนี้แทบทุกวัน การเดินทางไปคลินิกแต่ละครั้ง เมทรมานมาก คุณแม่ต้องขับรถไปช้าๆ เพราะแค่รถตกหลุม หรือเบรคเบาๆ เมจะรู้สึกเจ็บ ปวดแสบปวดร้อนรุนแรง แทบขาดใจ แต่ก็ต้องทนเพราะเพราะต้องไปฉีดยา !! ด้วยความหวังว่ามันจะดีขึ้น


ในแต่ละวันแต่ละคืน ทั้งเมและคุณแม่ ไม่มีวันไหนเลยที่เราได้นอนหลับ เมเจ็บปวดแสนสาหัส หลับๆ ตื่นๆ นอนไม่ได้ มีไข้สูง เพ้อ นอนร้องครวญครางทั้งคืน ทานยาลดไข้ก็ไม่ลด เวลาที่เมจะลุกไปเข้าห้องน้ำ คุณแม่ต้องคอยอุ้มพยุงให้ลุกนั่ง ประคองเดินไป เวลาขยับเขยื้อนตัว เมจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนจนแทบดิ้น เหมือนเนื้อภายในหน้าอกจะฉีก เป็นช่วงเวลาที่ทรมานแสนสาหัสมากที่สุดของเมเลยค่ะ


คุณแม่รายงานอาการไปยังคุณหมอ ล. ผ่านคุณ อ. ทุกวัน ถามตลอดว่ามีอะไรที่ผิดปกติมั๊ย ทำไมเมถึงเจ็บมากขนาดนี้ แย่ลงไปทุกวันๆ ไม่ได้ดีขึ้น อย่างที่ทุกคนบอกเลย เมติดเชื้อหรือเปล่า นมจะเน่ามั๊ย คำตอบที่ได้ทุกครั้ง คือ “ไม่เป็นไร มันเป็นอาการปกติของคนที่เพิ่งผ่าตัดทำหน้าอก และเดี๋ยวมันจะค่อยๆดีขึ้นเอง ให้เมอดทน”


การติดต่อคุณหมอ ล. เป็นไปอย่างยากลำบากและล่าช้า คุณหมอ ติดเคสผ่าตัดบ้าง บินไปต่างประเทศ วันหยุด ลาพักร้อนบ้าง ถ้าคุณ อ. ติดต่อคุณหมอไม่ได้ ก็ต้องรอ ไม่มีใคร ทำอะไรได้มากไปกว่านี้เลย คุณหมอที่คลินิค K ก็ไม่มีใครดูแลรักษาเมได้


ทุกครั้งที่ไปคลินิก K ก็จะเจอแต่พยาบาลทั้งชาวเกาหลีและไทย มีคุณหมอมาดู ก็เป็นเพียงคุณหมอผู้ช่วย ที่ไม่ใช่คุณหมอโดยตรงทางด้านศัลยกรรม และทำอะไรไม่ได้ไปกว่ารอคำสั่งจากคุณหมอ ล. เท่านั้น


ทุกๆวัน เมมีความหวัง ว่ามันจะค่อยๆ ดีขึ้น ตามที่คุณหมอบอก เมดีใจทุกครั้งที่ฉีดยา แล้วความเจ็บปวดทุเลาลง แต่พอยาหมดฤทธิ์ ความเจ็บปวดทุกอย่างก็กลับมา เมแทบหมดกำลังใจ อาการของเมหนักขึ้นเรื่อยๆ ผอมเป็นโครงกระดูก ตัวซีด อิดโรย ใครที่ได้เห็นเม ก็ตกใจกับสภาพ ที่เหมือนคนเจ็บป่วยใกล้ตาย คล้ายศพ !!

ภาพจากอีจัน


Part 5 : เริ่มสงสัยว่าติดเชื้อ แต่ยังปกปิด


13 ม.ค. 61 คุณหมอ ล. สั่งผ่าน K คลินิก ให้เมไปตรวจเลือดที่ รพ.ใกล้บ้าน โดยขอให้ตรวจ 2 ค่า คือ

1. CBC ค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด

2. ค่า SGOT/SGPT ค่าการทำงานของตับ

ผลออกมา คุณหมอที่รพ.ดังกล่าว ขอให้เมเข้าพบ เนื่องจากค่าทั้งสอง มีความผิดปกติ คือ ค่าเม็ดเลือดขาวสูงผิดปกติ และตับอักเสบ

พอคุณหมอทราบว่าเมเพิ่งทำศัลยกรรมมา ก็สงสัยว่าน่าจะมีการติดเชื้อ ค่าตับที่อักเสบ ก็มาจากการได้รับยามากเกินไป และคุณหมอปฏิเสธที่จะเปิดดูหน้าอกของเม แต่แนะนำให้เมกลับไปพบคุณหมอคนที่ผ่าตัดให้ ตอนนั้น

เมกับคุณแม่ ตกใจมาก รีบแจ้งคุณหมอ ล. ผ่านคุณ อ. ทันที แต่คุณหมอ ล. และคุณหมอที่ K คลินิก ก็ยืนยันว่า เมไม่ได้ติดเชื้อ ไม่ได้เป็นอะไร ค่าเม็ดเลือดขาวที่สูง ก็ไม่ได้สูงผิดปกติ เป็นผลที่ปกติมากๆ สำหรับคนที่เพิ่งผ่าตัดศัลยกรรม ส่วนตับอักเสบ ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ทุกคนอธิบายโน้มน้าว จนเมและคุณแม่สับสน แต่ด้วยความเชื่อมั่น ไว้ใจในตัวคุณหมอ และรพ. ก. เมจึงเชื่อตามที่ทุกคนบอก


แต่อาการของเม ยังคงทรุดลงทุกวัน จนเมแทบหมดหวัง เค้าให้เมเข้าไปฉีดยาที่ K คลินิก ตามเดิม หลังจากยาออกฤทธิ์ ความเจ็บทุเลาลง คราวนี้มีหัวหน้าพยาบาลชาวเกาหลี ที่คุณหมอ ล. ส่งมาเพื่อมาดูอาการเม พยาบาลคนนี้นวดนมเมอย่างรุนแรง คล้ายการนวดแป้ง เมเจ็บปวดมาก นอนดิ้นพราดๆ อยู่บนเตียง ร้องลั่นคลินิก พยาบาลคนนั้น ก็ยังไม่หยุด ให้เมอดทน และให้เมกลับมานวดแบบนี้อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น เมก็มา พอกลับถึงบ้าน ตกดึก หมดฤทธิ์ยา เมยิ่งเจ็บปวดมาก ระบม ไข้ขึ้นสูง

ภาพจากอีจัน


Part 6 : หนองทะลัก โอกาสรอด 10% แต่หมอ ล. สั่งให้บินไปตายที่เกาหลี


จนกระทั่งเช้ามืดของวันที่ 18 ม.ค. 61 เมมีไข้ขึ้นสูงมาก 40 องศา นอนห้องแอร์ แต่เสื้อผ้าเปียกชุ่มทั้งตัว เมเจ็บปวดที่นมอย่างรุนแรงที่สุดกว่าทุกวัน นมบวม ภายในเต้านม ร้อนระอุ เนื้อแทบฉีก หัวนมบวมเป่งเหมือนจะแตกออกมา หนาวสั่น มีไข้ อาเจียน ไม่มีเรี่ยวแรง หายใจแผ่ว

คุณแม่ตกใจมาก บอกคุณ อ. ให้แจ้งหมอ ล. ซึ่งก็เหมือนเดิม คือ ให้เมมาที่ K คลินิก

ยังไม่ทันจะได้ออกจากบ้าน น้ำหนองได้ทะลักออกมาจากรูเดรน ตรงรักแร้ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งได้ถูกเย็บปิดแผลไปเรียบร้อยแล้ว น้ำเลือดน้ำหนองผุดออกมา คล้ายน้ำพุ ไหลเป็นทาง เปื้อนเต็มหมอน และเสื้อผ้า ตอนนั้นเมและคุณแม่ตกใจมาก ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่รู้แล้วว่ามันผิดปกติอย่างแน่นอน ถามคุณหมอ ถามใครไป ก็ไม่มีคำตอบ ได้แต่ให้เมรีบมาที่ K คลินิกโดยเร็ว


เมื่อไปถึง K คลินิก ก็มีคุณหมอไทยท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณหมอฉีดไขมันและฟิลเลอร์ ที่เมเพิ่งเคยเจอ เป็นคนบีบเอาหนองออกจากรักแร้ทั้ง 2 ข้าง ตามคำสั่งของหมอ ล. หนองที่ออกมาเป็นจำนวนมาก ประมาณ 4-5 ถ้วยและไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย


ตอนนั้น ไม่มีคำอธิบายใดใดจากทุกคน แม้คุณแม่จะถามไปเท่าไร ก็ไม่มีใครยอมพูดอะไร มีแต่คนวิ่งวุ่นเต็มคลินิก เมอ่อนเพลียมาก แทบไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัว หายใจแผ่ว ตาพร่า เวียนหัว เหมือนจะหลับวูบหลายครั้ง คุณแม่ไม่รู้จะทำยังไง ติดต่อหมอ ล. ยังไม่ได้ ที่ K คลินิก ไม่มีคุณหมอเฉพาะทางท่านไหน รักษาเมได้เลย หรือถ้าเมจะไปรพ.ในไทย ก็กลัวว่า เคสศัลยกรรม เค้าอาจจะไม่รับรักษา เหมือนตอนที่เมไปตรวจเลือดที่ รพ. แห่งหนึ่ง คุณหมอยังไม่กล้าเปิดดูหน้าอกของเมด้วยซ้ำ

คุณแม่จึงมีความหวังเดียวคือ หมอ ล. และคุณ อ. ได้ตอบกลับมาว่า คุณหมอ ล. ให้เมเดินทางไปที่เกาหลีได้เลยในคืนนั้น !!


ระหว่างที่คุณแม่กลับบ้านเพื่อไปเอาพาสปอร์ต คุณหมอยังคงบีบเอาหนองออกให้เม เมเพิ่งมาทราบภายหลังว่าตอนนั้น ทุกคนที่ K คลินิก และหมอ ล. รู้แล้วว่า เมมีโอกาสรอดชีวิตเพียง 10% เท่านั้น

ซึ่งถ้าตอนนั้น เมเป็นอะไรไป คุณแม่ก็คงไม่ทันได้ดูใจ นับเป็น การตัดสินใจที่ผิดพลาดของเราอีกครั้ง ถ้าเมทราบว่า เมติดเชื้อ อยู่ในภาวะโคม่า มีโอกาสที่จะช็อคเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ เมคงตัดสินใจเข้ารพ.ใหญ่ในไทยทันที เราคงไม่คิดที่จะบินไปที่เกาหลี และคุณแม่คงไม่ยอมทิ้งเมไว้ที่คลินิกเพียงลำพังแบบนั้น

ภาพจากอีจัน


Part 7 : กว่าจะบอกความจริง ต้องรอให้ใกล้ตาย


ระหว่างที่คุณหมอบีบเอาหนองออก ก็มีคุณหมอไทยอีกท่าน คือ คุณหมอ จ. พรวดพราดเข้ามาในห้องนั้น จับชีพจรของเม และพูดกับคุณหมอคนที่บีบหนองอยู่ว่า “ต้องเอาออกทันที !!” ตอนนั้น เมไม่เข้าใจ มันว่าหมายถึงอะไร คุณหมอบอกว่า “คุณต้องเอาซิลิโคนออกโดยเร็วที่สุด ผมให้คุณเดินทางไปเกาหลีไม่ได้ และผมก็ไม่เซ็นให้คุณไปด้วย เพราะคุณมีโอกาสที่จะไปช็อคเสียชีวิตบนเครื่องแน่นอน สายการบินเองก็คงไม่ให้คุณขึ้นเครื่องสภาพนี้

อย่าว่าแต่คุณจะไปเกาหลีเลย แค่จากทองหล่อไปพระราม 2 ยังไกลไปสำหรับคุณเลย” ตอนนั้น เมแทบช็อค เมื่อรู้ว่า ตัวเองอยู่ในภาวะอันตรายถึงกับชีวิต ชีพจรของเมเต้นเร็วมาก ความดันต่ำ มีไข้สูง อ่อนเพลียแทบไม่มีแรง


เมื่อคุณแม่ มาถึงคลินิก และเพิ่งทราบ คุณแม่ก็ช็อค ทรุดตัวกองลงกับพื้น ร้องไห้แทบเสียสติ จนทุกคนต้องช่วยกันประคอง พาคุณแม่ออกไปจากห้อง พูดให้คุณแม่มั่นใจ แบบที่พูดกับเม ว่าคุณหมอ จ.       คนที่จะผ่าเอาซิลิโคนออกให้เม เป็นอาจารย์หมอที่รพ.รัฐแห่งหนึ่ง เก่งมาก รักษาบุคคลสำคัญระดับประเทศ และเป็นคนที่หมอ ล. สั่งมาให้รักษาเม

ตอนนั้นเราสองคนแม่ลูก สับสนมาก และไม่มีทางเลือกอื่น ต้องตัดสินใจทันที เพราะอาการเมวิกฤตแล้ว คุณแม่จึงเซ็นยินยอมให้เมเข้ารับการผ่าตัดกับคุณหมอท่านนี้ รถพยาบาลรพ.นครธน ได้มารอรับแล้ว และพาเมไปรพ.นครธนซึ่งทาง K คลินิก ไปเช่าห้องผ่าตัดทันที


Part 8 : ยื้อชีวิตครั้งแรก โคม่าเข้าห้อง ICU หมอ ล. หายหัว


คุณหมอบอกว่า เมื่อเมเอาซิลิโคนออกแล้ว จะหายทันที ไม่มีอะไรน่าห่วง แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น หลังการผ่าตัด เมยังโคม่า ต้องอยู่ในห้อง ICU อาการไม่ดีขึ้น มีไข้สูง ขึ้นลงตลอดเวลา หายใจติดขัด พูดได้สั้นๆ ตัวซีด ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะพูด

หลังการผ่าตัดคุณหมอ จ. ต้องกลับไปทำงานที่ K คลินิก จะมาดูอาการของเมอีกทีก็ราวๆ 3 ทุ่มหลังเลิกงาน และบอกว่าต้องนำเมกลับเข้าห้องผ่าตัดเพื่อล้างหนองอีกครั้ง สายเดรนตัน ทำให้เมยังคงมีไข้สูง

ภาพจากอีจัน


Part 9 : ยื้อชีวิตครั้งที่ 2 แต่ยิ่งวิกฤต คุณหมอบอกว่าทำเต็มที่แล้ว


คุณแม่แทบช็อค เมื่อได้รู้ว่าอาการของเมยังไม่ปลอดภัย และต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกเป็นครั้งที่ 2 ในเวลาไล่เลี่ยกัน หลังการผ่าตัดครั้งที่ 2 เมยังคงต้องอยู่ห้อง ICU อาการก็ยังไม่ดีขึ้น มีไข้สูงตลอดเวลา หายใจติดขัด พูดได้สั้นๆ เริ่มปวดตามกระดูก หลังและข้อ

บวมไปทั้งตัวและใบหน้า จนแทบไม่เห็นไหปลาร้า หาเส้นเลือดเพื่อเจาะฉีดยาตรวจเลือดแทบไม่ได้ ต้องเจาะจากข้อเท้า ตัวซีดเนื่องจากเสียเลือดมาก

ต้องให้เลือด ศีรษะภายในร้อนระอุ คล้ายมีใครมาจุดไฟเผาลุกท่วมหัว ซึ่งเมมาทราบภายหลังว่า อาการเหล่านี้ เป็นอาการวิกฤติ ที่เชื้อเริ่มลุกลามเข้าสู่อวัยวะใกล้เคียงอื่นๆ เข้าปอด และกำลังจะขึ้นสมอง


กลางดึกคืนนั้น คุณหมอ จ. ไม่ได้อยู่ที่รพ. แต่สั่งให้ X-Ray ปอดของเมกลางดึก ผลออกมา คุณหมอบอกว่าไม่เป็นอะไร พบว่าเป็นเพียงฝ้าขึ้นปอด (แต่ผลการทำ CT Scan ที่รพ.บำรุงราษฎร์ พบว่าน้ำท่วมปอด และเชื้อกำลังลุกลามเข้าสู่ปอด) จากอาการของเมที่ยังโคม่า และคุณหมอท่านนี้ก็บอกว่า ท่านได้ทำเต็มที่แล้ว ยาที่รักษาเม ก็เป็นยาตัวที่ดีที่สุดในโลก และคุณหมอเองก็ไม่สามารถมาดูแลเมได้ตลอดเวลา เค้าทำได้เท่านี้ ถ้าคุณแม่จะตัดสินใจย้ายเมไปที่รพ.อื่น ก็ทำได้เลย คุณแม่จึงตัดสินใจ ย้ายเมมารักษาตัวต่อที่รพ.บำรุงราษฎร์ทันที

ขอบคุณภาพ : นารากร ติยายน


Part 10 : ติดเชื้อที่รุนแรงมาก ใครได้ไป โอกาสรอดแทบไม่มี หมอที่รักษาจะให้โล่


ผลการเพาะเชื้อ ทั้งที่รพ.นครธนและบำรุงราษฎร์ ตรงกันคือ เป็นเชื้อที่ชื่อว่า “P e domona Aer gino a” ซึ่งเป็นเชื้อที่มีความรุนแรงมาก พบได้ในโรงพยาบาล และสถานพยาบาลเท่านั้น ดื้อยามาก หากเกิดกับคนที่ร่างกายไม่แข็งแรง หรือผู้สูงอายุ โอกาสรอดชีวิตนั้นมีน้อยมาก

คุณหมอที่บำรุงราษฎร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการติดเชื้อ ยังบอกว่าเมอึด และแข็งแรงมาก จนอยากจะมอบโล่ให้เลยทีเดียว เมโชคดีมากที่เชื้อตัวนี้ ไม่ได้ไปติดในการผ่าตัดทำตาของเม ไม่เช่นนั้นเมคงตาบอด สถานเดียว ไม่มีทางรักษา และโชคดี ที่เมตัดสินใจ ไม่ทำโครงหน้า ตามที่หมอและเอเจนท์โน้มน้าว เพราะถ้าติดเชื้อตัวที่นี้ ที่บริเวณใบหน้า เมก็คงเสียโฉม พิการไปตลอดชีวิต

ที่ รพ.บำรุงราษฎร์ เมได้รับการรักษาจากทีมแพทย์ 4 ท่าน คือ อาจารย์แพทย์ทางด้านการติดเชื้อ ศัลยกรรม กายภาพ และทางด้านปอด เมต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 3 ต้องเจาะใต้ราวนมทั้ง 2 ข้างเพื่อเดรนเอาหนองออกให้หมด อยู่ในความดูแลของทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด รวมระยะเวลาที่เมรักษาตัวที่รพ.ทั้ง 2 แห่ง 3 สัปดาห์


Part 11 : ศัลยกรรมทำพัง เปลี่ยนชีวิต


หลังออกจากรพ.แล้ว ร่างกายของเมไม่เหมือนเดิม แขนและไหล่ติด ยกแขนขึ้นไม่ได้ ต้องทำกายภาพบำบัด เป็นเวลา 4-5 เดือนจนถึงปัจจุบัน

ตอนนั้น คุณหมอกายภาพเอง ก็ยังตอบไม่ได้ว่าเมจะหายกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม 100% มั๊ย เมใช้ชีวิตลำบากมาก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย และเมต้องทำกายภาพปอด เพราะเชื้อเข้าปอด ปอดแฟบ พูดได้สั้นๆ เหนื่อยหอบง่าย ไม่มีแรง ซึ่งทำให้เมเสียใจมาก เพราะเมคิดว่า ตัวเองคงจะกลับไปร้องเพลงอีกต่อไปไม่ได้


ในส่วนหน้าอก ก็สภาพไม่เหมือนเดิม แบนราบคล้ายหน้าอกผู้ชาย มีบาดแผลขนาดใหญ่ที่รักแร้ทั้ง 2 ข้าง เพราะต้องผ่าตัดซ้ำบริเวณเดิมถึง 4 ครั้ง รู้สึกชาภายในเต้านม เจ็บแปล้บๆ คล้ายมีกระแสไฟฟ้าช็อต อาการเหล่านี้ คุณหมอก็ยังตอบไม่ได้ ว่ามันจะหายมั๊ย หรืออาจจะรู้สึกชาและเจ็บแบบไปตลอดชีวิต


ในส่วนของตา ที่ทำมาก็มีปัญหา สองข้างไม่เท่ากัน ผ่าตัดผิดพลาด กรีดเกิน เป็นรอยแผลเป็นบนหนังตาด้านซ้าย รอยเย็บไม่เรียบ เมถามคุณหมอตั้งแต่ออกจากห้องผ่าตัด แล้วเห็นรอยเย็บที่ตาข้างซ้ายเกินมา แต่คำตอบที่ได้ ก็เหมือนเดิม คือ “ไม่เป็นอะไร”

ภาพจากอีจัน



Part 12 : หายโง่ ตาสว่าง ก้มหน้ารับชะตากรรม


ที่เมตัดสินใจมาทำศัลยกรรมกับ รพ.ก เพราะเห็นการโฆษณารีวิว ทุกคนสวยขึ้นมากจริงๆ แต่หารู้ไม่ว่า รีวิวเหล่านั้น เค้าคัดมาดีแล้ว !!

ส่วนเคสหลุดเคสพัง พิการเสียโฉม หรือตาย เค้าใช้วิธีจ่ายเงินปิดปาก ซึ่งเมเองมารู้ภายหลังว่าที่นี่ มีเคสหลุดเคสพังเยอะมาก ผู้เสียหายหลายรายเมได้พูดคุยด้วยตัวเอง และเมเห็นข่าวโด่งดังของรพ.นี้ที่เกาหลี หลายข่าวหลายราย

ทั้งเสียชีวิต ประท้วง การทำ Shadow Doctor (สลับสับเปลี่ยนหมอระหว่างการผ่าตัด) การตัดสินคดีความต่างๆ ของรพ.นี้ ซึ่งเมได้ทราบแล้วก็ตกใจมาก ถ้ารู้มาก่อน เมคงไม่ไปทาที่รพ.นี้แน่นอนค่ะ


ในส่วนของคุณ อ. เอเจนท์ ที่ภาพลักษณ์ดูดีน่าเชื่อถือ เค้า PR ตัวเอง ว่าเป็นเอเจนท์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการเปิดบริษัทที่เกาหลี

หากมีปัญหา เค้าจะไม่หนีหายเหมือนเอเจนท์เถื่อน ยิ่งได้พูดคุย ก็ยิ่งเชื่อมั่น เค้าเป็นคนน่ารัก พูดจาดี เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของรพ.นี้

เมจึงมั่นใจ แม้ว่าราคาค่อนข้างแพง ยิ่งผ่านเอเจนท์ ก็ยิ่งบวกสูง แต่เมก็ยินดีที่จะจ่าย เพราะคิดว่าหมอที่นี่คงมีฝีมือดี และปลอดภัย คนถึงยอมจ่ายแพงกว่า และยอมผ่านเอเจนท์ เพราะหวังว่าเค้าจะดูแลเราอย่างดีที่สุด

แต่พอเกิดปัญหาจริงกับตัวเม เค้ากลับเทแล้วเทอีก ปฏิเสธอย่างหน้าตาเฉย ว่าเค้าไม่ได้เป็นเอเจนท์ที่พาเมไปทำศัลยกรรม แต่เมเป็นคนที่เดิน Walk-in เข้าไปติดต่อที่รพ.เอง !! ทั้งๆ ที่เมติดต่อพูดคุยกับเค้ามาตั้งแต่ต้น ทุกอย่างมีหลักฐาน ตั้งแต่วันแรกที่ไป consult เค้าก็นั่งอยู่ในห้องกับเม และเค้าเป็นคนเลือกหมอให้เม ให้คำแนะนำ จัดเตรียมทุกอย่าง โรงแรม รถรับส่ง และแน่นอนว่าเค้าต้องได้ค่าคอมมิชชั่นจากรพ. ในส่วนของเม แบบนี้ เรียกว่า ไม่ได้เป็นเอเจนท์ ของเมได้ยังไงคะ

ตลอดเวลาที่เมรักษาตัวที่รพ.ในไทยทั้ง 2 แห่ง คุณ อ. และคุณหมอ ล. ไม่เคยมาเยี่ยมเมเลย ได้แต่ส่งตัวแทน มาเจรจา เพื่อให้เมรักษาชื่อเสียงรพ.ไว้ เค้าบอกว่าเค้าจะรับผิดชอบทุกอย่าง ตัวคุณ อ. ก็ขอร้องเม ให้ใจเย็น เค้ากลัวว่ารพ. ก. และตัวเค้าจะเสียชื่อเสียง

ในวันนั้น อาการของเมยังโคม่า อยู่บนความเป็นความตาย คุณแม่ ก็ขอให้ชีวิตเมรอดปลอดภัยก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากที่เมรอดตายแล้ว เค้าก็ถีบหัวส่ง เมไลน์ไป โทรไป ก็ไม่รับสาย ไม่ตอบ เทเมไปครั้งแรก ตอนนั้นเมยังนอนรักษาตัวอยู่ที่รพ. ซึ่งเมก็เสียใจมาก ไม่เคยมาเยี่ยมเมเลย

แต่บินมางาน Consult ของรพ. ก. ซึ่งจัดขึ้นที่ไทย เป็นประจำทุก 3-4 เดือน เพื่อโปรโมท จัดแคมเปญส่วนลด ขนคนไทยไปศัลยกรรมที่รพ. ก. เป็นจำนวนมาก มีเวลาที่จะไปท่องเที่ยวยุโรปได้อย่างสบายใจ ทั้งๆ ที่เมทุกข์ใจ และเจ็บป่วยแสนสาหัส หลังจากที่เมออกจากรพ. ก็ยังคงต้องรักษาตัวต่อเนื่อง ทำกายภาพบำบัด พบคุณหมอเพื่อ follow up ก็ไม่เคยได้รับการดูแลถามไถ่ รับผิดชอบใดใด

ในส่วนของหมอ ล. ทันทีที่เค้าทราบถึงความผิดพลาด ความผิดปกติ เค้าควรต้องบอกคนไข้ ให้รับรู้ และทำการแก้ไขโดยเร็ว แต่กลับปกปิด ปิดบัง อีกทั้งยังให้เม หิ้วถุงระบายเลือดกลับไทย ในสภาพที่ต้องมาเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตแบบนี้

และเมื่อเค้าทราบว่า เมติดเชื้อ ก็ยังปกปิด เพราะกลัวว่าตัวเองจะเสียชื่อเสียง ทำการรักษาโดยวิธีประหยัด แต่เมต้องเสี่ยงชีวิต คือใช้วิธีฉีดยาฆ่าเชื้อ อัดยาเข้าไป โดยหวังว่ามันจะควบคุมได้ ทั้งๆ ที่เค้าควรจะบอกเมความจริง เพื่อให้เมได้มีสิทธิเลือกการรักษาอย่างถูกต้อง ปลอดภัย เมควรได้รับการรักษาที่รพ. มีคุณหมอดูแลอย่างใกล้ชิด และผ่าเอาซิลิโคนออกทันที

ไม่ใช่มายื้อซิลิโคนเอาไว้ โดยเอาชีวิตของเมมาเป็นเดิมพัน เพื่อปกป้องชื่อเสียงของรพ. และเอเจนท์ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาแบบมักง่าย ไม่ใส่ใจ จนเมต้องมาเสี่ยงอาการปางตาย เกือบเสียชีวิตแบบนี้ เหมือนฆ่าเมอย่างเลือดเย็น ไร้จรรยาบรรณของแพทย์

ขอบคุณภาพ : นารากร ติยายน


นี่ยังไม่รวมถึง เชื้อ Pseudomanas ที่ต้องถามกลับรพ. ก. เลยว่าห้องผ่าตัดของคุณ ปลอดเชื้อ ได้มาตรฐานหรือไม่ เพราะเชื้อตัวนี้ ไม่ใช่เชื้อที่จะสามารถพบได้โดยทั่วไป ส่วนใหญ่ พบในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลเท่านั้น

เมยอมจ่ายเงินแพงกว่า เพื่อซื้อความปลอดภัย ในการทำศัลยกรรม กับคุณหมอมือหนึ่ง กับรพ.และเอเจนท์มีชื่อเสียง แต่การดูแลและความรับผิดชอบของรพ.และเอเจนท์กลับไม่ได้ดี เหมือนภาพที่สร้างเอาไว้เลย

รพ.ยังมีการยกเอาข้อกฎหมายและคำพิพากษาศาลเกาหลี มาอ้าง เพราะเค้าก็รู้ดีว่า ในการฟ้องร้องเอาผิด จะต้องไปฟ้องที่ศาลเกาหลีเท่านั้น ซึ่งนี่แหล่ะ คือจุดอ่อน ที่เมอยากบอกให้ทุกคนรู้เอาไว้ ก่อนที่จะคิดไปทำศัลยกรรมที่เกาหลี ว่าถ้าเกิดปัญหาใดใดขึ้นมา การฟ้องร้องเอาผิด จะยุ่งยาก และยากลำบากมาก นอกจากคุณจะต้องมีเวลา และมีกำลังทรัพย์มากพอ ที่จะไปต่อสู้ฟ้องร้องที่นู่น

ซึ่งนี่คงเป็นเหตุผล ว่าทำไมหลายๆคน ที่มีปัญหา แต่กลับทำอะไรไม่ได้ บางคนไม่มีเงิน ไม่มีเวลาจะไปฟ้องร้องถึงที่เกาหลี ก็ถอดใจไปเอง บางคนอาย และไม่อยากเปิดเผย ก็ต้องทำใจ ยอมรับชะตากรรม ไปแก้ไขกันที่อื่น มาแก้ไขกับหมอไทยก็เยอะ

และนี่คงเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำไมรพ. หรือเอเจนท์ที่มีปัญหา (ย้ำนะคะ ว่าเฉพาะบางรพ.และบางเอเจนท์เท่านั้น รพ.และเอเจนท์ที่ดี ก็มีค่ะ ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นแบบนี้) จึงไม่แคร์ไม่สนใจ เพราะเค้ารู้ว่า ทำอะไรเค้าไม่ได้


วันนี้เมตัดสินใจลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เค้าทำกับเม และออกมาพูดเพื่อให้สังคมตื่นตัว เป็นอุทาหรณ์ ให้คนอีกหลายๆ คน ที่อาจจะไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเสี่ยงกับอะไรบ้าง ได้ระมัดระวัง ป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบเม ชีวิตเมที่รอดตายมาได้ ขอทำอะไรเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก มันมีค่ามากกว่าค่ะ


คุณพ่อของเมเสียชีวิตตั้งแต่เมยังเล็ก เมกับคุณแม่ เราอยู่กันมาสองคน ไม่เคยห่างกันเลย เลี้ยงเมมาด้วยความยากลำบาก และเค้ามีเมคนเดียว ถ้าวันนี้ ถ้าเมต้องเป็นอะไรไป หรือเสียชีวิต เพียงเพราะความประมาท มักง่ายในการกระทำของเค้า มันไม่ใช่เป็นการสูญเสียแค่ชีวิตคนๆ นึงเท่านั้น แต่มันหมายถึงชีวิตของคุณแม่เมด้วย

เมรู้สึกว่ารพ. ก. ทำเหมือนชีวิตคนไม่มีค่า รพ.ควรจะประกอบธุรกิจ อย่างมีความสำนึกในความรับผิดชอบต่อชีวิตคน ดูแลอย่างคนไข้ ไม่ใช่ลูกค้า !!

เพราะการทำศัลยกรรมนั้น มีการเสียเลือดเนื้อ และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความปลอดภัย อย่าเห็นแก่เงินและผลประโยชน์ทางธุรกิจ สำคัญกว่าชีวิตของคน

การโฆษณาชวนเชื่อ ทำธุรกิจแบบ commercial ขนคนไทยและเงินบาท ไปทำที่รพ. คุณมากมาย คุณก็ควรมีความรับผิดชอบต่อชีวิตของคนไทยด้วย แต่พอใครที่ทำแล้วมีปัญหา เค้าก็ไม่สนใจ ไม่แคร์ เดินหน้าทำธุรกิจ หาลูกค้าคนไทยต่อไป โดยที่ไม่รู้เลยว่า ใครจะเป็นผู้โชคร้ายรายต่อไป ที่อาจจะต้องมาเจอปัญหาแบบเม เมจึงอยากขอร้องให้เค้าได้หยุดทบทวน พิจารณาการดำเนินธุรกิจของตัวเอง ว่ามันถูกต้องดีแล้วหรือ ขอให้เค้าทำธุรกิจอย่างมีมนุษยธรรม เห็นความปลอดภัยและความสำคัญของชีวิตคนสำคัญกว่า ตัวเงิน ผลประโยชน์ทางธุรกิจแบบที่เป็นอยู่


ในส่วนของคุณ อ. เอเจนท์เอง วันนี้ก็เงียบ ไม่มีความรับผิดชอบใดใด เหมือนที่เคยได้ให้สัญญาเอาไว้ ว่าจะอยู่เคียงข้างเม ไม่ทอดทิ้ง แต่ในวันนี้ ทุกการกระทำได้พิสูจน์แล้วว่า ทุกอย่างเป็นเพียงคำพูดที่ดูดี ทำพอให้มีหลักฐาน ให้พออ้างได้ว่า เค้าไม่ได้หนีหายไปไหน แต่ในที่สุด คุณ อ. ก็ต้องเลือกรพ. ก. อันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของตัวเอง เป็นสำคัญ ทิ้งให้คนไข้ที่มีปัญหา ต้องก้มหน้ารับชะตากรรม กันไปเอง ซึ่งไม่ได้มีแค่เมเพียงคนเดียว ที่คุณ อ. ทำแบบนี้

ภาพจากอีจัน



Part 13 : คำแนะนา บทเรียนที่ได้ เพื่อเป็นอุทาหรณ์


ท้ายนี้ เมอยากขอสรุปถึงคนที่คิดจะทำศัลยกรรม ให้เป็นประโยชน์และข้อควรระวัง ดังนี้นะคะ


1) ลองพิจารณาคุณหมอ และโรงพยาบาลในไทยก่อนเป็นลำดับแรกดีมั๊ยคะ เพราะจริงๆแล้ว คุณหมอคนไทย ที่มีฝีมือมาก มีนะคะ เพียงแต่เราไม่รู้ และเค้าไม่ได้ทำการตลาด โปรโมท จนเป็นกระแสศัลยกรรมเกาหลีที่นิยมในตอนนี้

มีต่างชาติทั่วโลกที่บินมาประเทศไทยเพื่อทำศัลยกรรมมากมาย มีเคสหลุด เคสพังจากที่เกาหลี หรือที่อื่น แล้วมาแก้ที่ไทยก็เยอะ

หลังการผ่าตัด เราได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากคุณหมอ เลือกคุณหมอที่ความเชี่ยวชาญ เก่งๆ ทำกับโรงพยาบาลใหญ่ที่ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย ปลอดเชื้อ มีวิสัญญีแพทย์ มีเครื่องมือในการกู้ชีพ มีจรรยาบรรณเท่านั้น


2) ในกรณี ที่ต้องการไปทำที่เกาหลีจริงๆ ก็ต้องรับความเสี่ยงได้ในทุกกรณี แบบที่เมได้กล่าวไว้ข้างต้น

เช่นหากเกิดปัญหา การดูแลหลังการผ่าตัด จะทำอย่างไร หรือการจะไปฟ้องร้อง ก็ต้องไปทำที่ศาลเกาหลีเท่านั้น ซึ่งคุณพร้อมมั๊ย มันยุ่งยาก ทั้งเวลาและเสียค่าใช้จ่ายมาก จนทำให้หลายๆคน ที่เจอปัญหานั้นถอดใจ ยอมรับชะตากรรมกันไป และเป็นจุดที่ทำให้ รพ.และเอเจนท์ที่ไม่ดี เพิกเฉย ไม่รับผิดชอบ เพราะเค้ารู้ว่า ทำอะไรเค้าได้ยาก


เมื่อคุณรับความเสี่ยงนี้ได้ ก็ต้องเลือก รพ. และเอเจนท์ให้ถูก รพ.ดีดี เอเจนท์ที่ดี หมอที่มีฝีมือเก่ง มีนะคะ แต่เราต้องรู้ว่าใคร ไม่ใช่ว่าเกิดเป็นหมอเกาหลีแล้วจะเก่งทุกคน อย่าเชื่อแต่สิ่งที่เอเจนท์พูด หรือรีวิวต่างๆ เพียงด้านเดียว เพราะอาจจะมีอีกหลายอย่างที่คุณอาจจะไม่รู้ คงต้องทำการบ้าน หาข้อมูลหนักพอสมควรค่ะ


3) ควรทำสัญญากับเอเจนท์ และโรงพยาบาลนะคะ (ดูเมเป็นตัวอย่าง ไม่มีสัญญาค่ะ เค้าก็จะปฎิเสธความรับผิดชอบไปอย่างดื้อๆเลย)


4) การจ่ายเงินต้องมีหลักฐาน มีใบเสร็จการรับเงินทุกอย่าง (ของเมไม่มีค่ะ งงมาก โรงพยาบาลใหญ่โต หรูหรา แต่รับเงินไม่ออกใบเสร็จให้ ถามเพื่อนที่ไปทำมา ก็ไม่มีใครได้ค่ะ เราไปรพ.ไทย ไปคลินิกหาหมอเจ็บคอ เรายังได้รับใบเสร็จใช่มั๊ยคะ นี่ทำศัลยกรรม เรื่องใหญ่เกี่ยวกับชีวิต และความปลอดภัย แต่การจ่ายเงิน เหมือนไปซื้อของที่ตลาดสดเลย)


5) การทำศัลยกรรมทุกขั้นตอน ให้เก็บหลักฐาน ถ่ายรูป ถ่ายคลิปเอาไว้นะคะ เผื่อจะเป็นประโยชน์ในอนาคต ถ่ายให้หมด เก็บทุกรายละเอียด


6) หากมีความผิดปกติใดใดเกิดขึ้น อย่าชะล่าใจ และอย่าเชื่อคำพูดของคุณหมอ และเอเจนท์ แต่เพียงเท่านั้น ให้หา second opinion หรือ third opinion เพื่อเช็คให้แน่ใจ

หากเกิดความผิดปกติใดใดจะได้ป้องกันและแก้ไข ได้ทันท่วงทีค่ะ (ประสบการณ์ของเม ทุกครั้งที่ถามหมอ และเอเจนท์ คำตอบที่ได้คือ “ไม่เป็นอะไร ทุกอย่างเป็นปกติ ของการทำศัลยกรรม” ถ้ามันปกติจริง เมคงไม่มาถึงจุดนี้ ที่เกือบตาย หรือถ้าเค้าตอบคำถามคุณไม่ได้ เค้าก็จะไม่มีคำอธิบายใดใดค่ะ)


7) ดูดวง ดูฤกษ์ก่อนการผ่าตัดด้วยนะคะ สวดมนต์ แผ่เมตตา ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เรื่องนี้ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่จริงๆค่ะ

ภาพจากอีจัน