
จากกระแส #มิถุนาคม ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ หลังจากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้พูดผิดจากเดือนมิถุนายน เป็นเดือนมิถุนาคม ในงานแถลงการประชุมความคืบหน้าจัดตั้งรัฐบาล เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 66 ที่ผ่านมา
จนหลายคนแห่แซวว่า ไหวไหมพ่อ พักก่อน ประสานงานไม่ใช่ประสานงา มิถุนายนไม่ใช่มิถุนาคม มีอีกหลายคำขำจนปวดท้อง , เดือนหน้ามี 31 วัน เพราะเป็นเดือนมิถุนาคม


ล่าสุดวันนี้ 2 มิถุนายน 66 ทางเพจเฟซบุ๊ก Silpawattanatham – ศิลปวัฒนธรรม ได้ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับที่มาของการเรียกชื่อเดือนในแต่ละเดือนว่า…
ไทยแต่เดิมเรียกเดือนแรกของปีว่า เดือนอ้าย เดือนที่ 2 ว่าเดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ ไปตามลำดับ แม้ต่อมาภายหลังเราจะเปลี่ยนไปใช้เดือน 5 เป็นเดือนแรกของปีเราก็ยังเรียกตามแบบเดิม
พอถึงรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริว่า การใช้วันเดือนตามแบบจันทรคติไม่สะดวก ไม่เหมาะสมกับความเป็นไปของบ้านเมืองที่ต้องมีความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ที่นับวันเดือนตามแบบสุริยคติ คือ นับตามการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ โดย 1 ปีมี 365 หรือ 366 วัน แบ่งเป็น 12 เดือน จึงเปลี่ยนวิธีนับวันและเรียกชื่อเดือนใหม่ เพื่อใช้เรียกและกำหนดจดจำได้ง่ายขึ้น
โดยอาศัยหลักโหราศาสตร์ที่ว่า เมื่อพระอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีเมษ ให้เอาชื่อราศีเมษมาเป็นชื่อเดือน ราศีถัดไปคือราศีพฤษภ ราศีมิถุน ราศีกรกฎ ราศีสิงห ราศีกันย ราศีตุล ราศีพฤศจิก ราศีธนู ราศีมกร ราศีกุมภ ราศีมีน (ชื่อราศีเหล่านี้ตามตำราของอินเดีย)
เมื่อนำเอาชื่อราศีมาใช้เป็นชื่อเดือนแล้ว จึงเปลี่ยนแปลงรูปคำใหม่ คือนำคำว่าอายน และอาคม มาสนธิ ต่อท้ายคำเดิม เช่น เมษ เป็น เมษายน (เมษ + อายน) พฤษภ เป็น พฤษภาคม (พฤษภ + อาคม)
ซึ่งคำว่า “อายน” และ “อาคม” มีความหมายว่า “การมาถึง” ส่วนคำว่า อาพันธ์ หมายถึง “ผูก” เมื่อนำมาสนธิกับราศี จะมีความหมายว่า ดวงอาทิตย์มาถึงราศีนั้นๆ แล้ว โดยแบ่งเดือนที่มี 30 วันให้ใช้ “อายน” เดือนที่มี 31 วันให้ใช้ “อาคม” และมี 28 วัน ให้ใช้ “อาพันธ์”
ผู้ที่มีหน้าที่คิดชื่อต่างๆ ในสมัยนั้น คือพระยาศรีสุนทร โวหาร (น้อย อาจารยางกูร) และพระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ) ซึ่งมีความชำนาญในวิชาโหราศาสตร์
เพราะฉะนั้น “มิถุนาคม” ก็มีความหมายว่า ดวงอาทิตย์มาถึงราศีมิถุนแล้ว เช่นเดียวกับ “มิถุนายน” แต่ที่ไม่สามารถเรียกเดือนมิถุนาคมได้ก็เพราะว่าเดือนนี้ มี 30 วันนั่นเอง