ยายขับรถชนเจ้าหน้าที่สาหัส ! บอกไม่รู้ว่าชนตอนไหน ยอมรับผิด และพร้อมรับผิดชอบ

ยายวัย 69 ขับกระบะพุ่งชนเจ้าหน้าที่สนามบินเชียงใหม่ บาดเจ็บสาหัส คนดูแลยายยื่นใบรับรองแพทย์ ยืนยันยายป่วยอัลไซเมอร์ จำเหตุการณ์ไม่ได้ แต่พร้อมรับผิดชอบ



วานนี้ 20 ส.ค.61 เกิดเหตุคุณยายวัย 69 ขับรถกระบะพุ่งชน รปภ. และชนรถที่จอดอยู่อีก 4 คันรวด ที่บริเวณหน้าประตู อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ทำให้ รปภ.ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน


เรืออากาศโท วศิน พลนาวี รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ รักษาการแทนผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระบุสาเหตุเบื้องต้น ว่า คุณยายได้ขับรถกระบะมาจอดหน้าชานชาลาอาคารผู้โดยสาร ซึ่งโดยปกติจะอนุญาตให้จอดรับส่งผู้โดยสารเท่านั้น เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการล็อคล้อ จึงคาดว่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดความโมโหขับรถพุ่งชนเจ้าหน้าที่และชนรถที่จอดอีก 4 คันรวด

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน


ขณะที่คุณยาย เล่าว่า หลังจากที่ส่งเพื่อนไปอเมริกาเสร็จแล้ว ก็ได้ยินประกาศจากสนามบินเรื่องจอดรถผิด จึงเดินออกมาที่รถ ปรากฏว่า รถโดนล็อคล้อ เนื่องจากจอดนานเกิน 1 ชั่วโมง

หลังชำระค่าปรับและปลดล็อคล้อ ตนเห็น รปภ. เดินมา จู่ๆก็ล้มและนอนลงไป ยังไม่รู้เลยว่าชนตอนไหน แต่ไม่ได้โมโหที่ถูกล็อคล้อ คุณยายยังอ้างอีกว่า ไม่ได้โมโหที่ถูกล็อคล้อ และจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องจากป่วยด้วยโรคสมองฝ่อมานานเกือบ 20 ปี

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน


ภายหลังทราบชื่อผู้บาดเจ็บ คือ นายวัชระ ไชยวงศ์ พนักงานบริษัท เอ็มเอไออินเตอร์เนชันแนล ทำหน้าที่ดูแลการจราจรบริเวณถนนหน้าอาคารโดยสาร ได้รับบาดเจ็บ กระดูกขาหัก

หลังเกิดเหตุ คนดูแลยาย เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนได้ห้ามยายแล้วว่าไม่ให้ออกไป แต่ยายไม่ยอม จึงเกิดเหตุแบบนี้เกิดขึ้น และนำใบรับรองการรักษาโรงพยาบาลประสาท มาให้ตำรวจดูในใบรับรองแพทย์ระบุว่ายาย เป็นโรคสมองฝ่อ และ โรคอัลไซเมอร์ กำลังอยู่ในระหว่างรักษา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตัว ยายจำอะไรไม่ได้ แต่ญาติพร้อมชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด รวมถึงการดูแลคนเจ็บ

ภาพจากอีจัน


เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นได้รับความเสียหาย ส่วนข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ตำรวจรอผลยืนยันจากแพทย์ว่าเป็นอันตรายถึงขั้นสาหัสหรือไม่ ก่อนแจ้งข้อหาเพิ่มเติม

และปล่อยตัวไปชั่วคราวเนื่องจากไม่มีเจตนาหลบหนีและมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ก่อนเรียกตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมอีกครั้ง