
วันนี้ (26 มิ.ย.68) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 1/2568 ด้านสุขภาพและการเจ็บป่วย พบประเด็นที่ต้องติดตาม คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคซิฟิลิส และโรคเอชไอวี (HIV) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ข้อมูลจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบผู้ป่วยโรคซิฟิลิสมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 9,101 ราย ในปี 2562 เป็น 27,686 ราย ในปี 2567 หรือเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจาก 3,767 ราย ในปี 2562 เป็น 14,627 ราย ในปี 2567 ขณะที่ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 พบผู้ป่วยแล้วกว่า 12,429 ราย
เช่นเดียวกับการติดเชื้อโรคเอชไอวี (HIV) ที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญ โดยในปี 2567 พบผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 580,000 ราย และคาดว่าในปี 2568 จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน 8,862 ราย ซึ่งผู้ป่วยโรคซิฟิลิส และเอชไอวี ส่วนใหญ่จะพบมากในเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ชลบุรี และนครราชสีมา

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการติดเชื้อ คือ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น สอดคล้องกับข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมการใช้ถุงยางอนามัยในกลุ่มเด็กและเยาวชนประจำปี 2567 (ระหว่างวันที่ 1 – 31 ม.ค. 67) ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
พบว่า เด็กและเยาวชนมีแนวโน้มการมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้นอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 12 – 16 ปี และไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกถึงร้อยละ 24.0 ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการป้องกันโรค ดังนี้
- การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์อย่างถูกวิธี
- การไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยครั้ง
- การตรวจร่างกายและตรวจเลือดก่อนแต่งงานหรือมีบุตร
- การหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดทุกชนิด โดยเฉพาะการใช้เข็ดฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- การให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาอย่างรอบด้านแก่เด็กและเยาวชน
ทั้งนี้ ผู้ที่ติดเชื้อ HIV สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ หากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด จะสามารถชะลอการพัฒนากลายเป็นโรคเอดส์ (AIDS)