“เอ็ม คนตัวลาย” นักโทษประหาร สู่การเป็นแชมป์มวยแห่งเอเชีย

พลิกแล้วพลิกอีก ! ชีวิตนักโทษประหาร ก้าวสู่การเป็นนักมวยดีกรีแชมป์มวยเอเชีย เอ็ม คนตัวลาย

เรื่องราวชีวิตของ นายเฉลิมพล สิงห์วังชา หรือ เอ็ม คนตัวลาย จากนักโทษประหารคดีฆาตกรรม สู่การเป็นแชมป์นักมวยสากลและมวยไทยระดับเอเชีย

ซึ่งเรื่องราวที่อีจันกำลังจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของคนๆหนึ่ง ที่ต้องพบเจอกับจุดพลิกผันหลายต่อหลายครั้งในชีวิต จากเด็กชายอนาคตไกล สู่วัยรุ่นชายต้องโทษคดีฆาตกรรม อำพราง และในที่สุดเขาก็ถูกตัดสินเป็นนักโทษประหาร เรื่องราวของชายคนนี้เริ่มต้นขึ้นจากนักมวยเด็ก

จุดพลิกผันแรก “ผมเริ่มชกมวยตั้งแต่ 9 ขวบ พ่อกับปู่ชอบมวยมาก เลยเอาผมไปฝากไว้ที่ค่ายมวย แต่จริงๆผมไม่ชอบมวยนะ ไม่เอาเลย แต่พ่อกับปู่จับไปอยู่ที่ค่ายมวย หลังจากนั้นก็เลยชกมวยมาเรื่อยๆจนอายุได้ประมาณ 14-15 ผมหยุดชกมวยไปพักหนึ่ง ก็ตอนนั้นมันเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นไง เราก็เริ่มอยากเป็นที่ยอมรับของเพื่อน เริ่มอยากมีฉายา อยากเป็นที่รู้จัก เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการเกเร เราเกเรมาเรื่อยๆเพื่อนเรียกไปไหนก็ไป เอาหมดไม่เคยเกี่ยงวัยกำลังห้าวเลย จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผมอยากเลิกเกเรไม่เอาอีกแล้ว หลังจากที่เราไปมีเรื่องไล่ตีคนนนู้นคนนี้ ก็ถึงคราวที่วันหนึ่งเราโดนไล่ตีบ้าง วันนั้นผมซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกับพี่ มีคู่อริขับรถตามมา มีดตัดอ้อยอ่ะพี่ ฟันเข้าหูผมเลย หลังจากนั้นผมคิดเลย ผมรู้สึกกลัวตาย! ผมตัดสินใจ ผมเลิก! ไม่เอาแล้ว ไม่เดินทางนี้แล้ว”

จุดพลิกผันต่อมา “หลังจากนั้นตอนผมอายุได้ 16 ปี ผมก็เริ่มเดินทางเข้าสู่วงจรยาเสพติด เริ่มต้นเลยผมเริ่มจากบุหรี่ก่อน สูบบุหรี่ไม่เป็นนะตอนนั้นสำลงสำลักเละเทะไปหมด แต่เราต้องทำเพราะเดี๋ยวเพื่อนล้อ เราก็เอา บุหรี่ตัวแรกที่ดูดยี่ห้อสายฝน ผมจำได้เลย แล้วก็เริ่มไปต่อที่การดื่มเหล้าเมา เลเวลต่อไปก็คือยาบ้า เรารู้นะว่าอะไรดี ไม่ดี แต่ห้ามใจไม่ได้ เอาหน่อยวะลองหน่อย พอเราได้เสพเราก็เริ่มติดกลิ่น เริ่มชอบ แล้วก็มีความคิดว่าทำอย่างไรให้ไม่ต้องเสียเงินในการซื้อยามาเสพ ก็เลยคิดจะขาย เริ่มจาก 10 เม็ด 20 เม็ด มาเป็น 100 และเยอะขึ้นเรื่อยๆ เราขายได้เราได้เสพได้จับเงิน เด็กอายุ 16 ได้จับเงินหมื่น มันเลยทำให้คิดว่า ขายยาแล้วมีเงิน”

จากเด็กอนาคตไกลเข้าสู่วังวนของเส้นทางสีดำ เพราะความถลำลึก เลยทำให้เขาต้องพบกับจุดต่ำสุดของชีวิตที่เขาจะจำไปจนตาย “ผมก็ขายยาของผมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคนเอายาผมไปขาย แล้วเกิดการบิดเงินกันเกิดขึ้น วันนั้นผมไปหาเขาที่บ้าน วันนั้นผมไปตัวเปล่าด้วย ผมไปเพื่อจะไปทวงเงินค่ายาเขา แต่เขายกปืนขึ้นมา ผมทำอะไรไม่ถูก สิ่งเดียวที่ผมคิดตอนนั้นคือต้องป้องกันตัว ผมต่อยเขา แล้วปืนที่มือเขาตก ผมเก็บปืน เขาวิ่งหนี ผมเลยตัดสินใจ ลั่นไก! “เขาเสียชีวิต”

ด้วยความเด็ก กลัวว่าจะมีใครมาเห็นศพ ผมตัดสินใจนำร่างไร้วิญญาณเขาขึ้นรถ แล้วเอาไปทิ้ง แต่สุดท้ายก็ไม่รอดตำรวจจับผมได้ เด็กอายุ 19 ผมโดนฟ้อง “ฆ่าโดยไตร่ตรอง , อำพรางซ่อนเร้นศพ , เคลื่อนย้าย ผมโดนตัดสินโทษประหารชีวิต” ผมยอมรับสารภาพ ศาลเลยลดโทษ เหลือจำคุกตลอดชีวิต”

เพราะขาที่ก้าวเข้าไปผิดที่ผิดทาง ทำให้เอ็ม ต้องเจอกับช่วงชีวิตที่ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด การใช้ชีวิตที่เหลือในเรือนจำสุดโหด “เข้าไปมันเคว้งมากนะพี่ มันเป็นอีกโลกเลย ใครห้าวๆสดๆข้างนอกเข้ามามีร้องกันหมด แต่มันก็ต้องอยู่ให้ได้ ตอนนั้นผมก็คิดว่าผมต้องทำยังไงให้อยู่ได้ ให้อยู่สบาย ทางเดียวก็คือ เราต้องสร้างชื่อ!

สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือการเกเร เพื่อเป็นเกาะป้องกันตัว ตอนนั้นผมคิดแค่นั้น เพราะว่าถ้าเรายอม เราก็ต้องยอมจนตาย ทำยังไงก็ได้ให้คนยอมรับ เราให้คนกลัวเรา ผมเริ่มมีเด็กในบ้าน ผมเริ่มมีอิธิพล และเมื่อเราอยู่ในฐานะนั้น ผมเลยมีหน้าที่รับผิดทุกอย่างที่เด็กในบ้านผมก่อขึ้น และเรื่องที่ผมต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ผมจำไม่ลืม!

คือวันที่ผมต้องลงโทษเด็กในบ้านตัวเอง เพราะเขาไปสร้างเรื่องไว้กับเด็กบ้านอื่น ด้วยระบบคุก “ถ้าเราไม่ทำ คนอื่นก็จะทำ” วันนั้นผมทำร้ายน้องผม น้องผมบอกสั้นๆกับผมว่า ผมให้พี่ทำดีกว่าให้คนอื่นทำ ผมไม่โกรธพี่

จุดพลิกผันครั้งสำคัญในชีวิตของคนคุกอย่างผม

“ปี 2552 ผมมีเรื่องกับคนในคุกผมถูกขังเดี่ยว มีผู้คุมคนหนึ่งขึ้นไปหาผม เขาพูดกับผมว่า เอ็มมึงอยากจะอยู่แต่ในนี้หรอ อยากเป็นขาใหญ่แค่ในนี้หรอ รู้ไหมโลกข้างนอกเปลี่ยนไปแค่ไหนแล้ว ไม่สงสารแม่หรอ เนี่ยมีต่อยมวย ไปต่อยมวยไหม ได้ออกไปข้างนอกด้วยนะ

ตอนนั้นผมคิดว่าผู้คุมเขาอาจจะแค่พูดให้ผมหายดื้อเฉยๆ ไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย แต่ผมก็รับปากเขาไป ผมเริ่มไปฟิตร่างกาย ไปซ้อมมวย จนกลายเป็นนักกีฬาเรือนจำ ได้ไปต่อยเรือนจำทั่วประเทศเลย

วันแรกที่ได้ไปแข่งผมได้ออกมาข้างนอกเรือนจำ ผมรู้สึกดีมาก ผมได้เห็นต้นไม้ ได้เห็นสะพานลอย ได้เห็นคนเยอะๆ ตอนนั้นเราคิดว่า เออ…ต่อยมวยนี่แหละอย่างน้อยมันทำให้เราได้ออกมาเห็นโลกภายนอก ได้เห็นผู้หญิง แค่นั้นก็พอแล้วตอนนั้นผมคิดแค่นั้นเลย ไม่ได้เคยคิดว่าจะได้ออกจากเรือนจำด้วยซ้ำ

จนมาถึงวันหนึ่งผมไปต่อยมวยที่ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต วันนั้นผมจำไม่ลืมเป็นวันที่ผมดีใจที่สุดในชีวิต วันนั้นผมเจอหน้าแม่แบบที่ไม่มีกรงมากั้น เราได้นั่งกินข้าวด้วยกัน ได้กราบเท้าแม่ ได้ขอโทษแม่ และพูดสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายในใจกับแม่ เหตุการณ์นี้มันทำให้ผมอยากได้รับอิสรภาพอีกครั้ง”

เอ็ม คว้าแชมป์มวยเรือนจำระดับประเทศได้หลายรายการและหลายปีซ้อน กระทั่งแสงสว่างที่ปลายอุโมงมันได้สว่างขึ้นมา

“วันนั้นผมไปชกมวยชนะน็อก ระหว่างที่กำลังรับรางวัลบนเวที ท่านสุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนเก่า ท่านก็พูดกับผมว่า ติดมาจนขนาดนี้ยังไม่ได้กลับบ้านอีกเหรอ เดี๋ยวทำพักโทษกรณีพิเศษให้ เดี๋ยวกลับบ้านเลย

ผมก็คิดว่า เล่นกับความรู้สึกเราอีกแล้ว เพราะตอนนั้นผมได้ลดโทษแต่ก็เหลืออีกเกือบ 10 ปี เขาบอกว่า เดี๋ยวเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านเลย ผมก็คิดว่า ใช่หรือเปล่าเนี่ย หลอกเราหรือเปล่า เพราะตอนนั้นปี 2553 แต่กำหนดวันพ้นโทษผมอยู่ปี 2562 ผมเลยไม่หวังอะไรมาก คิดว่าอีกนานกว่าจะได้ออกจากเรือนจำ

แต่วันที่ผมเป็นอิรสระก็มาถึง 8 ต.ค. 2556 ตอน 9 โมงเช้า ผมได้ก้าวออกจากประตูเรือนจำจนถึงปี 2556 ผมได้พ้นโทษกรณีพิเศษ เพราะสร้างชื่อเสียงให้กับเรือนจำ ผมติดคุกทั้งหมด 13 ปี 6 เดือน สิ่งที่ผมได้ออกมาคือการได้แชมป์กรมราชทัณฑ์ (มวยสากลสมัครเล่น) 3 ปีซ้อน แชมป์กรมราชทัณฑ์ (มวยไทย) 4 รุ่น 69 กก. ,70 กก. ,72 กก. ,75 กก.

หลังจากนั้นออกมาก็ไปอยู่ค่ายมวย ผมใช้เวลาเพื่อปรับตัวกับโลกภายนอกเลยหลายเดือน งง กับการปิดไฟนอน นอนไม่ได้ เพราะเปิดไฟนอนมา 13 ปี มันไม่ชินจริงๆ พอเริ่มปรับตัวได้ผมก็เริ่มต่อยชิงแชมป์ จนได้แชมป์ ABF สหพันธ์แห่งเอเชีย ,แชมป์มวยสากลอาชีพ ผมต่อยมาเรื่อยๆ ป้องกันแชมป์ถึง 9 ครั้ง แล้วก็สละแชมป์ เพราะว่ารักษาน้ำหนักไม่ได้”

เส้นทางชีวิตของเขากำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดของกราฟ แต่แล้วเขาก็ดึงตัวเองกลับสู่จุดที่ดำมืดอีกครั้ง

“ผมไม่มีไฟท์ชก ผมเลยกลับไปวงจรเดิมอีกครั้ง ติดยา ขายยา เล่นการพนัน เอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอบายมุข 2 ปีเต็ม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ช่วยผมไหวได้ ก็คือ ความรัก

ตอนนั้นผมคบแฟนอยู่คนหนึ่ง เราคบกับมาได้สักระยะวันนั้นผมแอบเสพยาในห้องน้ำ แล้วลืมทิ้งอุปกรณ์เอาไว้ แฟนผมเข้าไปเห็น เขาก็ถ่ายรูปส่งให้เพื่อนดู เพื่อนเขาก็บอกว่าเราเสพยา ตอนนั้นเขาไล่ผมเลย เขาไม่เอาผมเลย เพราะเขาเคยขอเอาไว้ ว่าขอ 2 อย่างที่รับไม่ได้ถ้าผมทำ คือหนึ่งเรื่องผู้หญิง และสองเรื่องยาเสพติด

ตอนนั้นผมยกไหว้ขอโทษผมบอกเขาไปว่า “ช่วยผมด้วย ผมอยากเลิกยา” เขาก็ร้องไห้ แต่เขาก็ช่วยนะผมพยายามอยู่ 2 อาทิตย์ แล้วผมก็เลิกยาได้เลิกขาดเลย เพราะผมตั้งใจที่จะทำมันมากๆ ผมรู้สึกว่าไม่อยากทำให้เขาเสียใจอีกแล้ว เขาหาคนที่ดีกว่าผมได้แต่เขาก็ไม่ไป ผมเลยฮึดที่จะสู้แม้มันจะทรมาน

หลังจากนั้นก็กลับมาต่อยมวยอีกครั้ง ต่อยมาเรื่อยๆ ได้แชมป์อีก 3 ครั้ง แชมป์มวยสากล 2 รุ่น สถาบันสหพันธ์มวยเอเซีย หรือ (ABF) รุ่น 147 ปอนด์ ,สภามวยแห่งเอเชีย หรือ (WBC Asia) รุ่น 175 ปอนด์ และแชมป์มวยไทย MX รุ่น 94 กก.”

ชีวิตที่ต้องพลิกไปพลิกมาหลายตลบของเขาทำให้ผู้ชายคนนี้ได้ชื่อว่า “เอ็ม คนตัวลาย” จากนักโทษประหารสู่การเป็นแชมป์ เขาต่อสู้กับเส้นทางชีวิตที่ไม่สวยเหมือนในละคร และที่ยากที่สุดคือการที่ต้องต่อสู้กับใจของตัวเอง ตอนนี้ผมก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายแต่ว่าผมมีความสุข เขาบอกว่า อยู่กับมวยไม่รวยแต่มีความสุข “อาชีพสุจริตมันดีกว่า ผมมีเงิน 10 บาท

พี่เอ็ม ยังกล่าวอีกว่า “ถ้าคุณก้าวพลาดเข้าไปในนั้น ผมไม่อยากบอกอะไร แต่คุณต้องลอง ให้คุณได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ลองด้วยตัวเอง แล้วคุณจะรู้ว่ามันเป็นแบบไหน เพราะของแบบนี้ถ้าห้าม มันก็เหมือนยิ่งยุ ยิ่งอยากลอง เอาสิ!ลองเลย แล้ววันนึงคุณจะรู้ด้วยตัวของคุณเองว่าสิ่งที่ผมพูดมันจริงไหม แล้วคนที่จะไม่ทิ้งคุณเลยก็คือพ่อแม่และครอบครัว ทุกอย่างอยู่ที่ตัวคุณ สุดท้ายก็อยากจะฝากวัยรุ่นทุกคนนะครับ ดูไว้ดูผมไว้เป็นเยี่ยง แต่อย่าเอาอย่าง โทษมันสูง ประหารนะครับน้องๆ”

ทั้งนี้ วันที่ 23 เม.ย. นี้ “เอ็ม คนตัวลาย” มีชกอีกครั้งที่ญี่ปุ่น ฝากคนไทยเป็นกำลังใจให้กับเขา ซึ่ง เอ็ม ฝากบอกว่าเขาจะทำมันให้เต็มที่ที่สุด และจะเอาเข็มขัดกลับมาให้คนไทยให้ได้

อีจันก็ขอเป็นกำลังใจให้ คุณเอ็ม คว้าชัยชนะ กลับมาให้ได้นะคะ

อีจัน The Series “เอ็ม คนตัวลาย” คนเคยเลว