อัยการแต่งตั้ง “วัชรินทร์ ภาณุรัตน์” นั่งหัวหน้าสอบคดี พรบ.อุ้มหาย

อธิบดีอัยการ สำนักงานสอบสวน แต่งตั้ง “นายวัชนรินทร์ ภาณุรัตน์” นั่งหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบ พรบ.อุ้มหาย สะเทือนคดี 7 ตำรวจรุมกระทืบหนุ่มผิดตัว

จากกรณี 7 นายตำรวจจราจร สังกัดกองกำกับ 1 บก.จร. ก่อเหตุร่วมกันทำร้ายร่างกาย นายธนานพ อายุ 34 ปี คนขับรถมาสด้าสีแดง ซึ่งเป็นลูกชาย พ.ต.ท.ธนชัย อายุ 62 ปี อดีต สว.กก.2 บก.ปทส. จนได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณใกล้ด่านตรวจบริเวณซอยประเสริฐมนูกิจ 21 แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กทม. ก่อนเจ้าหน้าที่จะยอมรับว่าเข้าใจผิดคิดว่ารถมาสด้าสีแดงพยายามแหกด่านตรวจ แต่ปรากฏว่าเป็นการจับกุมผิดตัว ก่อนที่จะมีคำสั่งให้ตำรวจทั้ง 7 นาย ออกจากราชการพร้อมตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายเเรง  

ล่าสุด (25 ก.พ. 68) นายโชคชัย สิทธิผล อธิบดีอัยการ สำนักงานสอบสวน ได้มีหนังสือตอบกลับไปยังดีเอสไอ แจ้งรายชื่อพนักงานอัยการ ที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งตั้งคณะทำงานผู้เข้าตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน ตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ ในคดีดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีสำนักงานการสอบสวน อัยการมือสอบสวนชื่อดัง เป็นหัวหน้าคณะทำงาน , นางสาววณี เกษตรธรรม อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 5 เป็นรองหัวหน้าคณะทำงาน  

โดยคณะทำงานประกอบด้วย นางสาวทักษอร สุวรรณสายะ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด , นางสาวบุษยภา เมณฑกา อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด , นายธีรัช ลิมปยารยะ อัยการจังหวัดประจำสำสำสำนักงานอัยการสูงสุด เเละนางสาวศรัณย์ตา พงศ์หมายเกื้อ เจ้าพนักงานคดีชำนาญการพิเศษ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ  

มีอำนาจหน้าที่ ดำเนินการตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวนในทันที เพื่อให้เป็นตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ฯ เเละระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯและแนวทางปฏิบัติว่าด้วยการดำเนินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ โดยเคร่งครัด 

โดยจะให้เข้าร่วมการประชุมกับดีเอสไอวันที่ 12 มี.ค.2568 ที่ห้องประชุม 3 กรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ


สำหรับคดีนี้ เป็นไปตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ฯ ซึ่งถือว่าเป็นการจับกุมควบคุมตัวและมีการทำร้ายร่างกาย ไม่ต้องส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เนื่องจาก พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 31 บัญญัติไว้เพียงแค่แจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบเท่านั้น

เพราะเมื่ออัยการสูงสุดชี้ขาดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้รับผิดชอบแทนพนักงานสอบสวนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลก็เป็นอำนาจหน้าที่ อสส.สั่งชี้ขาดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจสอบสวนได้ แต่การสอบสวนดังกล่าวต้องมีอัยการเข้าไปตรวจสอบและกำกับการสอบสวนซึ่งเป็นไปตามกฎหมายดังกล่าว เมื่อพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้รับผิดชอบแล้วถือว่าคดีนี้เป็นคดีพิเศษ