อาจารย์ ม.ดัง เมาแล้วขับชนดะ ตร.-ชาวบ้าน เจ็บ 3 ราย

อาจารย์ ม.ดัง เมาแล้วขับชนดะ ตร.-ชาวบ้าน เจ็บ 3 ราย โทรเรียกน้องมาช่วย เถียงหัวชนฝา ยังไงก็ไม่ผิด อ้าง ตร.ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 00.30 น. ร้อยตำรวจเอกหญิง ธิดารัตน์ สุขะ รองสารวัตรสอบสวน สภ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุพระประแดง ว่ามีอุบัติเหตุรถยนต์นั่งส่วนบุคคลพุ่งชนรถจักรยานยนต์สายตรวจ สภ.พระประแดง เสียหลักพุ่งชนรถข้างทาง จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ซึ่งเป็นนายตำรวจ 2 นาย และแม่ค้าร้านข้าวต้มอีก 1 ราย ทางมูลนิธิร่วมกตัญญูช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลบางปะกอก 3

อ่านข่าวเพิ่มเติม : หนังสือถึงอธิการบดี ม.ดัง ขอให้ลงโทษทางวินัยอาจารย์ เมาแล้วขับ

ภาพจากอีจัน
เหตุเกิด ใกล้ซอยสุขสวัสดิ์ 47 มุ่งหน้าอำเภอพระสมุทรเจดีย์ รถจักรยานยนต์สายตรวจของ สภ.พระประแดง จอดล้มอยู่ช่องทางเดินรถที่ 2 ด้านซ้าย สภาพรถช่วงท้ายถูกชนเสียหาย และพบตำรวจได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ห่างไปประมาณ 10 เมตร พบรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ Volvo สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียน ภว-7001 กทม. จอดอยู่ช่องทางเดินรถด้านซ้ายสุดและมีร่องรอยเฉี่ยวชนด้านหน้าข้างขวาโดยมี ดร.วิชญ์ วณิชพัทธ์ อายุ 48 ปี ชาว อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี เป็นคนขับ ดร.วิชญ์เป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของเขต.ดุสิต และยังพบรถยนต์ยี่ห้อ ตงฟง สีขาว หมายเลขทะเบียน 1ฒร-645 กทม. ซึ่งเป็นรถขายนมสดและปังเย็นจอดอยู่ข้างทางได้รับความเสียหายด้านหน้ากันชนข้างขวา
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ มีทั้งหมด 3 ราย รายที่ 1 ด.ต.เกียรติศักดิ์ คงเพ็ชรศักดิ์ อายุ 47 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สภ.พระประแดง เป็นคนขับรถจักรยานยนต์สายตรวจ รายที่ 2 ส.ต.ต. สถาปัตย์ สิงหโยธา อายุ 24 ปี ตำแหน่ง ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปรามสถานีตำรวจภูธรพระประแดง เป็นผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์สายตรวจ รายที่ 3 นางอ๊อด อุ่นหวงศ์ อายุ 70 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของร้านข้าวต้มที่อยู่ตรงจุดเกิดเหตุ


ระหว่างที่พนักงานสอบสวนและ พ.ต.ต. อดุลย์ มงคลเจริญ สารวัตรป้องกันและปราบปราม สภ.พระประแดง ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ และได้เชิญ ดร.วิชญ์ คนขับรถยนต์คันเกิดเหตุดังกล่าว       ให้ลงมาจากรถเพื่อจะสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ดร.วิชญ์ ไม่ยอมลงมา และมีอาการคล้ายเหมือนคนเมาสุรา พูดจาไม่รู้เรื่อง ทางเจ้าหน้าที่ต้องเกลี้ยกล่อมอยู่นานจึงยอมลงมาจากรถ และได้เชิญตัว ดร.วิชญ์ ไปยังสภ. เพื่อขอตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ แต่ ดร.วิชญ์ กลับบอกเจ้าหน้าที่ว่า ขอติดต่อญาติและขอให้ญาติเดินทางมาที่เกิดเหตุก่อน

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
เมื่อมีการร้องขอยังไม่ตรวจวัดแอลกอฮอล์ เจ้าหน้าที่ก็รอ จนเมื่อญาติของ ดร. มาถึง เจ้าหน้าที่จึงแจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับทางญาติและแจ้งว่าต้องควบคุมตัว ดร.วิชญ์ ไปยัง สภ.พระประแดง เพื่อสอบปากคำและตรวจวัดแอลกอฮอล์ ซึ่งในระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจเจรจากับทางญาติอยู่นั้น ปรากฏว่า ดร.วิชญ์ ได้ขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับ ในรถของญาติ พร้อมกับสตาร์ทเครื่องยนต์คล้ายกับจะหลบหนี


ตำรวจจึงต้องเข้าควบคุมตัวเพื่อป้องกันการหลบหนี แต่ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัว ดร.วิชญ์ นั้น ทางด้านญาติซึ่งเป็นน้องสาวได้เอาตัวเข้าแทรกกลางระหว่างเจ้าหน้าที่กับพี่ชายเพื่อไม่ให้จับกุมพี่ชาย จากนั้นทั้งคู่โวยวายใส่เจ้าหน้าที่ จนกระทั่งมีการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย

และในที่สุด เจ้าหน้าที่ก็สามารถเชิญตัว ดร.วิชญ์ ไปยังสภ.พระประแดง และตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ซึ่งผลออกมาสูงถึง 161 มิลลิกรัม  ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างมาก

ขณะที่ทางน้องสาวของ ดร.วิชญ์ ได้ขอลงบันทึกประจำวันแจ้งความดำเนินคดีกับ สวป.สภ.พระประแดงในข้อหาทำร้ายร่างกาย

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ส่วนทางด้าน พ.ต.ต. อดุลย์ มงคลเจริญ สารวัตรป้องกันและปราบปรามสถานีตำรวจภูธรพระประแดงผู้ที่ถูกแจ้งความ ออกมาระบุว่า ตนเองบริสุทธิ์ใจและไม่ได้มีเจตนาทำร้ายร่างกายคู่กรณีแต่อย่างใด ซึ่งจังหวะที่เข้าไปควบคุมตัว ดร.วิชญ์ ไม่ให้หลบหนีออกจากจุดเกิดเหตุนั้น  ตนเองเห็นและพิจารณาแล้วว่าการที่ ดร.วิชญ์ ขึ้นไปนั่งสตาร์ทรถในฝั่งคนขับในรถของน้องสาว พร้อมทั้งยกขาทั้งสองข้างเข้าไปในรถแล้ว อาจจะมีเจตนาหลบหนีออกจากจุดเกิดเหตุ ตนจึงเข้าไปควบคุมตัวและจะเชิญตัวมายัง สภ. แต่กลับถูกฝ่ายน้องสาวของ ดร. เข้ามาขัดขวางและกล่าวหาพร้อมทั้งโวยวายใส่ต่อหน้าสาธารณะชน  ซึ่งหากน้องสาวของ ดร.จะแจ้งความดำเนินคดีตนเอง ก็ยินยอมและมั่นใจว่าไม่ได้ทำร้ายร่างกายตามที่คู่กรณีกล่าวอ้าง
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ในส่วนเจ้าหน้าที่ ก็เตรียมแจ้งข้อหากลับเช่นกัน โดยจะแจ้งภาพในข้อหา  “เมาแล้วขับ”, “ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย” , ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ซึ่งมีอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย” และ “ดูหมิ่นซึ่งหน้าต่อเจ้าพนักงานต่อสาธารณะชน”