ข่าวดี!!! ส.ค. – ก.ย. นี้ ไทยเปิดรับอาสาสมัคร “ทดสอบวัคซีนต้านโควิด” หลังทดสอบในลิงมีผลน่าพอใจ

รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เผย หลังทดสอบวัคซีนต้านโควิดในลิง มีผลน่าพอใจมาก ส.ค. – ก.ย. นี้ เปิดรับอาสาสมัคร เตรียม “ ทดสอบวัคซีนในมนุษย์ ”

วันที่ 12 ก.ค. 63 “วัคซีนต้านโควิด-19” เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกตั้งตารอคอย เพื่อสยบ และต่อสู้การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โดยหลายๆ ประเทศก็มีการทำวิจัยเกี่ยวกับวัคซีนดังกล่าวขึ้น
ประเทศไทยเป็นอีก 1 ประเทศ ที่เดินหน้าทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ โดยล่าสุด “ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า

“ข่าวดีครับ!! หลังทดสอบวัคซีนเข็มที่สอง สร้างภูมิคุ้มกันต่อโควิด – 19 ได้ระดับสูง เดินหน้าทดสอบในมนุษย์ เปิดรับอาสาสมัคร เดือน ส.ค. – ก.ย.นี้ ก่อนทดสอบเข็มแรก เดือน ต.ค.นี้”

ทั้งนี้ ดร. สุวิทย์ ยังเปิดเผยข้อมูลอีกว่า จากการรายงานของ “ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” และ “สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)” ผลการทดสอบวัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทย โดยใช้สารพันธุกรรมของเชื้อ “ชนิด mRNA” ในลิง

หลังจากเข็มที่สอง ที่ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี พบว่า เป็นที่น่าพอใจมาก และลิงทุกตัวมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีผลข้างเคียงจากวัคซีน โดยหลังจากที่ฉีดวัคซีนเข็มที่สองไปเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผ่านไป 2 สัปดาห์ นักวิจัยได้เจาะเลือดมาทำการทดสอบการสร้างภูมิคุ้มกัน หรือ แอนติบอดีชนิดที่ยับยั้งเชื้อหรือ Neutralizing antibody นั้น พบว่า ลิงที่ได้รับวัคซีนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีมาก

จากผลการทดลองดังกล่าว “ศูนย์วิจัย” จึงได้ตกลงเดินหน้าต่อ โดยจะเริ่มทดสอบในมนุษย์ในเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งจะดำเนินการคู่ขนานไปพร้อมกัน เพื่อให้ได้วัคซีนอย่างรวดเร็ว โดยการทดสอบในมนุษย์ จะเริ่มสั่งการผลิตวัคซีนในสัปดาห์หน้า เพื่อจะใช้ในการทดสอบในมนุษย์

“โดยจะเริ่มรับอาสาสมัครในเดือน ส.ค. –ก.ย. และจะฉีดเข็มแรกในมนุษย์ในเดือน ต.ค.นี้”

การทดสอบจะทำทั้งหมด 3 ระยะ รวมทั้งจะเตรียมการผลิตให้เพียงพอ และเตรียมขึ้นทะเบียนวัคซีน โดยประสานกับผู้ผลิตวัคซีนทั้งในภาครัฐและเอกชนเพื่อให้มีความพร้อมที่จะผลิตให้พร้อมใช้ รวมทั้งร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยีกับต่างประเทศด้วย

ภาพจากอีจัน
จากข้อมูลดังกล่าว อาจเป็นสัญญาณดี ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องวัคซีนอย่างมาก โดยมอบให้ อว. และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันดำเนินงานในเชิงรุก ทั้งโดยการวิจัยและพัฒนาในประเทศ
ภาพจากอีจัน