นิรันดร แจงดราม่า บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ โต้กลับ สันธนะ – เสี่ยโป้ ปม เสื้อสีชมพู

ดราม่า บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ นิรันดร ต้นเรื่อง เสื้อสีชมพู ชี้เรื่องเกิดเพราะ เสี่ยโป้ ไม่ทำตามที่รับปาก ส่วน สันธนะ ให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน

จากกรณีที่ เสี่ยโป้ และนาย สันธนะ ประยูรรัตน์ ร้องกองปราบเพื่อให้ดำเนินคดีกับ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ใน 4 ข้อหาคือ ความผิดฐานพยายามฉ้อโกง, เรี่ยไรเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต, ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และความผิดที่เกี่ยวกับการแอบอ้างสถาบัน โดยอ้างว่า บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ให้ เสี่ยโป้ บริจาคเงินเพื่อจัดทำ เสื้อสีชมพู ไปแจกจ่ายประชาชน รวมถึงหาเงินสมทบให้แก่ มูลนิธิ โรงพยาบาล ศิริราช แต่ต่อมากลับพบความผิดปกตินั้น

อ่านข่าว : ไล่ไทม์ไลน์ บิณฑ์ – เสี่ยโป้ ก่อนมีดราม่า จนถึงจุดขัดแย้งเสื้อสีชมพู

ซึ่งต่อมา บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้มีการไลฟ์สดปมเงินบริจาค ในระหว่างลงพื้นที่ช่วยชาวบ้านว่า

“เงินบริจาคเป็นเงินที่บริสุทธิ์ เพราะคนตั้งใจบริจาคเพื่อให้คนป่วย เงินบริจาคไม่ว่าเพื่อการอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่บาทเดียวผมก็ไม่เคยคิดที่จะทำ ผมตระหนักอยู่ในใจตลอดเวลา ว่าทุกอย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทยศักดิ์สิทธิ์จริง และมีจริง ใครทำอะไรไม่ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ดี เราต้องมีคุณธรรม สัจธรรม ต้องมีความจริง”

ภาพจากอีจัน


ต่อมา ในวันที่ 15 ธ.ค. 2563 นายนิรันดร สุขปรีดี ผู้ที่นำเสนอเรื่องเสื้อสีชมพูให้ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ร่วมทำบุญ ได้ออกมาชี้แจงว่า

โครงการดังกล่าวเป็นของทางโรงพยาบาลศิริราช ที่เชิญชวนประชาชนบริจาคสมทบทุน อาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา โดยเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีกับทางมูลนิธิ ซึ่งเมื่อโอนครบ 100 บาท ก็จะมอบเสื้อชมพูปักตราสัญลักษณ์ ให้ 1 ตัว และก็ตนได้เห็นนายบิณฑ์ ใส่เสื้อสีชมพูดังกล่าวไปเฝ้ารอรับเสด็จ ซึ่ง นายบิณฑ์ ก็เป็นคนทำงานสาธารณประโยชน์ เพื่อสังคมมายาวนาน
ขณะเดียวกัน ตนก็ทราบว่ามีผู้ใจบุญต้องการนำเสื้อสีชมพูมามอบให้โรงพยาบาลศิริราช ประมาณ 3 แสนตัว

ตนพยายามติดต่อ นายบิณฑ์ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ เพราะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว เลยโทร.ไปที่มูลนิธิร่วมกตัญญู และได้เบอร์เลขาฯ ของ บิณฑ์ มา จากนั้นตนก็ได้นัด บิณฑ์ มาเจอกัน และเล่าถึงโครงการของศิริราช เพื่อให้เขาทำเป็นต้นแบบให้คนได้สวมเสื้อชมพู

“ศิริราชมีกติกา หรือ คำเชิญชวน ว่า ต้องบริจาค 100 บาท ถึงจะได้เสื้อสมนาคุณ 1 ตัว และศิริราชจะออกใบเสร็จรับเงินให้ โดยใบเสร็จรับเงินนี้สามารถนำไปหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วย ซึ่งไม่มีใครเสียประโยชน์ แล้วผมก็เห็นว่าผมพอรู้เรื่องนี้อยู่บ้างก็อยากเข้ามาช่วยเป็นสะพานบุญเพื่อเชื่อมต่อกับบิณฑ์” นายนิรันดร สุขปรีดี กล่าว

ภาพจากอีจัน


จากนั้น นายบิณฑ์ ก็บอกว่า รู้จักกับน้องคนหนึ่งที่เคยบอกว่าจะให้เงิน 20 ล้าน เพื่อนำไปทำประโยชน์ให้สังคม จะเอาไปทำอะไรก็ได้ ต่อมาก็ทราบว่า นายบิณฑ์ ได้โทรหาเสี่ยโป้ ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่า เสี่ยโป้ คือใคร

ต่อมาก็ได้มีการนัดคุยรายละเอียดเรื่องนี้กัน โดยเสี่ยโป้บอกว่าจะช่วยบริจาคกับโครงการเป็นเงินจำนวน 10 ล้านบาท ตนจึงถามเสี่ยโป้กลับไปว่า ในการบริจาคจะบริจาคให้ในนามใคร เสี่ยโป้ก็บอกว่าถ้าเป็นในนามของเสี่ยโป้มันจะดูไม่ดี ตนจึงบอกว่าไม่เป็นไร ให้เสี่ยโป้บริจาคในนามของคุณพ่อ หรือคุณแม่เสี่ยโป้ก็ได้ ซึ่งเสี่ยโป้ก็บอกว่า จะทยอยโอนเงินบริจาคครั้งละ 2 ล้านจำนวน 5 ครั้ง ซึ่งบัญชีที่แจ้งในการโอนเงินนั้นเป็นบัญชีของศิริราชมูลนิธิ

นายนิรันดร บอกด้วยว่า ตนพยายามติดตามว่าเสี่ยโป้ได้โอนเงินแล้วหรือยัง เพราะถ้าโอน 2 ล้าน ก็จะได้เสื้อ 2 แสนตัว และจะได้นำเสื้อให้นายบิณฑ์นำไปแจกประชาชน เพื่อใส่ในวันที่ 5 ธ.ค. 63

ส่วนจำนวนเสื้อ ที่เป็นประเด็นว่า นายสันธนะ นำไปตรวจสอบแล้วปรากฏว่าไม่ตรงกันนั้น ตนขอชี้แจงว่า นายสันธนะให้สัมภาษณ์ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ตัวเลขมันผิด เขาบอกบริจาค 2 ล้าน จะได้เสื้อ 2 พันตัว ซึ่งมันไม่จริง ทำให้คนที่รับฟังข่าวเกิดความงุนงง ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่า นายสันธนะ ไปเอาตัวเลขมาจากไหน และนายสันธนะไม่เคยโทรมาหาตน เพราะตนไม่เคยรู้จักนายสันธนะ

“เรื่องนี้มันเกิดขึ้น เพราะเสี่ยโป้ไม่ดำเนินการตามที่รับปาก แต่เสี่ยโป้ไปอ้างว่าไม่สามารถโอนเงินได้ เพราะว่าซ้อบอกว่านายสันธนะบอกไม่ต้องโอนให้กับศิริราชมูลนิธิ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเสี่ยโป้จึงต้องไปผ่านซ้อ ทำไมซ้อต้องไปคุยกับนายสันธนะ”

ภาพจากอีจัน


ส่วนเรื่องแอบอ้างเบื้องสูง ได้เครื่องอิสริยาภรณ์ นั้น ตนบอกเสี่ยโป้ไปว่า นอกจากการบริจาคเงินให้ศิริราชสามารถเอาไปหักภาษีได้ โดยระเบียบทางราชการ ก็สามารถนำเอกสารการบริจาคเงินที่รับรองโดยหน่วยงานไปประกอบการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างจะต้องถูกตรวจสอบ ต้องดูประวัติว่าเขาสมควรที่จะได้รับหรือไม่

“ผมไม่เข้าใจว่าคนที่ไม่ดี อยากจะสร้างกระแสว่าเป็นคนดี ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ตามคำสอนของพระพุทธศาสนาคนทำดีก็ต้องได้ดี คนทำไม่ดีก็ต้องได้รับผลกรรมที่กระทำไว้ ผมเองก็ไม่ได้มีอะไรที่เป็นส่วนได้ส่วนเสีย เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะบริจาคเงินแล้วมาหักค่าหัวคิว หรือมาขอคอมมิชชั่นจากศิริราชมูลนิธิ ไม่เคย” นายนิรันดร กล่าว