
สืบเนื่องจากกรณีที่เรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนพร้อมน้ำมัน 330,000 ลิตร จำนวน 3 ลำ ที่ตกเป็นของกลางในคดีลักลอบขนน้ำมันเถื่อนเครือข่าย “เสี่ยโจ้ น้ำมันเถื่อน” หรือ “โจ้ ปัตตานี” จอดอยู่ที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จ.ชลบุรี จำนวน 3 ลำ ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.67
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
วันนี้ (19 ก.ค.67) เวลา 15.00 น. ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะทำงานคดีเรือน้ำมันเถื่อนหาย แถลงความคืบหน้าปฏิบัติการตรวจค้นและดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องคดีเรือน้ำมันหายจากท่าเรือตำรวจน้ำสัตหีบเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังมีรายงานข่าวว่า ตำรวจได้ดำเนินการออกหมายจับนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ ปัตตานี พร้อมพวกรวม 6 คน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. เปิดเผยว่า หลังจากสืบสวนสอบสวนคดีผลเพิ่มเติม พบว่าเรือทั้ง 3 ลำที่หายไปนั้น มีกลุ่มผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องนอกจากลูกเรือ 15 รายแล้ว ยังมีบุคคลอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องในระดับสั่งการ โดยพบว่า เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นายสหชัย หรือเสี่ยโจ้ ได้สั่งการให้นายสมเกียรติและนายสำเริง ซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิททำหน้าที่ประสานงานให้กับเสี่ยโจ้ในประเทศไทย ได้นัดหมายไต่ก๋งเรือทั้ง 3 ลำ คือ เรือ เจ.พี. เรือกำไรเงินหรือซีฮอส และเรือดาวรุ่น ซึ่งเรือทั้ง 3 ลำ มา รับประทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พร้อมนำวิทยุสื่อสารและ GPS ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับการเดินเรือ มอบให้ไปไต๋ก๋งเรือทั้ง 3 ลำ เพื่อใช้ในการสื่อสารนัดหมายวันเวลาที่จะ เตรียมหลบหนี เนื่องจากอุปกรณ์ชุดเก่าถูกต้องเจ้าหน้าที่ตำรวจอายัดไปแล้ว
9 มิถุนายน หลังกรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศ มีพายุเข้า คลื่นลมแรง เจ้าหน้าที่ จึงต้อง สั่ง ให้ ทำการเคลื่อนย้ายเรือ ไปหลบพายุเพื่อความปลอดภัย ห่างจากจุดจอดเรือเดิมประมาณ 100 เมตร เพื่อความปลอดภัยและป้องกันความเสียหาย เสี่ยโจ้จึงสบโอกาสนัดหมายกันผ่านวิทยุว่า วันที่ 11 มิถุนายน เวลา 2 ทุ่ม ต้องนำเรือหนีออกมาให้ได้ จนกระทั่ง 20:00 ของวันที่ 11 มิถุนายน เรือทั้ง 3 ลำก็เคลื่อนตัวออกจากจุดจอดท่าเรือตำรวจน้ำสัตหีบตามภาพวงจรปิด ก่อนมาทราบเหตุในวันที่ 12 มิถุนายน

โดยพยานหลักฐานชัดเจนแล้วว่า เสี่ยโจ้และพวกรวม 3 คน มีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งการให้นำเรือออกมา เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม จึงได้ขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับ นายสหชัยหรือเสี่ยโจ้ นายสมเกียรติ และนายสำเริง ในข้อหาร่วมกันใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันเอาไปเสียซึ่งทรัพย์สินอันเจ้าพนักงานได้ยึดรักษาไว้เพื่อเป็นหลักฐาน พร้อมออกหมายเรียก ผู้ร่วมขบวนการ ซึ่งทำหน้าที่ เป็นฝ่ายบัญชี ทำหน้าที่โอนเงินให้กับไต้ก๋งเรือ ทั้ง 3 ลำ เป็นค่าใช้จ่ายในระหว่างหลบหนี อีก 3 ราย มารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งประกอบด้วยนายนรินทร อายุ 27 ปี และนางอนันตญา อายุ 25 ปี และนางสาวลดาวัลย์
18 ก.ค.67 ตำรวจกองปราบได้ขอหมายค้น 13 จุดในพื้นที่สมุทรปราการ 1 จุด สมุทรสาคร 2 จุด เพชรบุรี 2 จุด สงขลา 2 จุด และปัตตานี 6 จุด ซึ่งเป็นบ้านและสำนักงานของผู้กระทำความผิด ซึ่งเป็นผู้ร่วมขบวนการของเสี่ยโจ้ พบพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงกับคดีนี้ได้เป็นอย่างมาก แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้

ในระหว่างการตรวจค้นพบ นายสมเกียรติและนายสำเริง ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาล ได้ หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว เช่นเดียวกับนางสาวลดาวัลย์ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกไปแล้วก่อนหน้านี้ ก็หลบหนีออกนอกประเทศเช่นกัน
ทั้งนี้ในระหว่างตรวจค้น ตำรวจสามารถจับกุมตัว นางอนันตญา และนายนรินทร ไว้ได้
ส่วนนางลดาวรรณ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่เป็นฝ่ายการเงินได้หลบหนีออกนอกประเทศ ไปแล้วนั้นพนักงานสอบสวนเตรียมขออำนาจศาลออกหมายจับเพิ่มอีก 1 คน

ด้าน พล.ต.ท.ไกรบุญ กล่าวว่า หลังจากนี้จัดเตรียมดำเนินการขอออกหมายแดงกับตำรวจสากลในการจับกุม เสี่ยโจ้ ปัตตานี และพวกที่ถูกออกหมายจับ 4 ราย พร้อมฝากข้อความผ่านสื่อมวลชนว่า ขอให้ทั้ง 4 คนเข้ามามอบตัวต่อสู้คดีกับตำรวจจะดีกว่า หากเชื่อมั่นว่าตัวเองไม่ผิด และยืนยันไม่มีความกังวลใจกับคดีนี้
ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่รัฐนั้น ณ ตอนนี้ยังไม่มีพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงถึงแต่อย่างใด แต่ไม่ปล่อยผ่านเนื่องจากเป็นเรื่องยากที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะไม่มีส่วนรู้เห็นจึงอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลหากพบเจ้าหนี้เจ้าหน้าที่รัฐรายใดให้การช่วยเหลือก็จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด ส่วนหนุ่ม เมืองเพชรนั้น ยังไม่มีพยานหลักฐานพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการเรือหายในครั้งนี้








