“พิพัฒน์” เผย! ที่มาเม็ดเงินกู้เบื้องต้น 9.3 หมื่นล้าน เอาไปทำอะไรบ้าง? 

ตอบชัด! “พิพัฒน์” เผยที่มาเม็ดเงินกู้เบื้องต้น 9.3 หมื่นล้าน เพื่อรักษาการจ้างงาน  – ส่งเสริมอาชีพอิสระ

ตอบชัด เม็ดเงินนี้ใช้ทำอะไร?  

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า ถึงนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการและผู้ใช้แรงงาน ว่ากองทุนประกันสังคม ถือเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน ด้วยมาตรการอัดฉีดเงินรวมกว่า 93,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 นี้ เบื้องต้นกระทรวงแรงงานมีแผนนำเงิน 20,000 ล้านบาทจากกองทุนประกันสังคม และอีก 10,000 ล้านบาทเป็นเงินที่รัฐบาลคืนหนี้ให้กับกองทุนประกันสังคม มาเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ ทำให้มีเงินสำหรับโครงการนี้รวม 30,000 ล้านบาท 

นายพิพัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับเงินจำนวน 30,000 ล้านบาท นี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ เงิน 20,000 ล้านบาท สำหรับเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการทั่วไป โดยกำหนดวงเงินกู้ตามขนาดของสถานประกอบการ เริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท ทั้งนี้สำหรับกิจการที่มีแรงงานน้อยกว่า 200 คน, 30 ล้านบาท สำหรับกิจการที่มีแรงงาน 201-500 คน และสูงสุด 50 ล้านบาท สำหรับกิจการขนาดใหญ่ที่มีแรงงานมากกว่า 500 คน  ส่วนอีก 10,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการภาคการส่งออก เพื่อใช้ปรับปรุงหรือลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก 

ซึ่งเงินกูุ้ส่วนที่สอง คือ  โครงการช่วยเหลือผู้ประกันตนประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งเป็นไปตามที่เคยประกาศไว้ในวันแรงงานแห่งชาติที่ผ่านมา เบื้องต้นมีวงเงิน 24,000 ล้านบาท มาจากกองทุนประกันสังคม และมีแผนขยายเพดานการนำเงินจากกองทุนประกันสังคมมาใช้จาก 3.5% เป็น 5% จากเงินกองทุน 2.6 ล้านล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีเงินเพิ่มอีก 39,000 ล้านบาท รวมสองส่วนเป็น 63,000 ล้านบาท เพื่อนำมาปล่อยเงินกู้ให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39 และ 40 ประมาณ 25 ล้านคน  เพื่อเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและเพิ่มรายได้ โดยจะนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคมภายในเดือนมิถุนายนนี้ หากได้รับการอนุมัติ คาดว่าจะสามารถเริ่มได้ในเดือนกรกฎาคมนี้ ส่วนอัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่างการหารือกับธนาคาร 

ทั้งนี้ ด้าน รมว.แรงงาน เผยว่า โครงการนี้จะดำเนินการผ่านธนาคาร 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร Exim Bank, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคาร ธ.ก.ส., ธนาคารยูโอบี และธนาคารไทยเครดิต หากมีหลักทรัพย์ค้ำประกันดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.35% ต่อปี ระยะเวลา 3 ปี และหากไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.75% ต่อปี และมีการลงนาม MOU เรียบร้อยแล้ว โดยมีเป้าหมายรักษาการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 80 % และหวังให้รักษาการจ้างงานได้ 100 % และเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ปล่อยกู้ จะผ่านความรับผิดชอบของธนาคาร โดยดอกเบี้ยจะถูกกว่าการกู้จากภายนอกแน่นอน และเราเชื่อมั่นว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยให้เศรษฐกิจขับเคลื่อน และ GDP โตขึ้นตามเป้าหมายที่รัฐบาลประกาศไว้ที่ 3%