4 ชาติลุ่มน้ำโขง ไม่รับ ร่างรายงาน เขื่อนสานะคาม ระบุ ต้องประเมินเชิงลึก ผลกระทบข้ามพรมแดน

คณะทำงานร่วมด้านเทคนิค 4 ชาติลุ่มน้ำโขง ไม่รับ ร่างรายงาน เขื่อนสานะคาม ระบุ ต้องประเมินเชิงลึก ผลกระทบข้ามพรมแดน

คณะทำงานร่วมด้านเทคนิค 4 ชาติลุ่มน้ำโขง มีมติไม่รับร่างรายงานการทบทวนทางเทคนิค (TRR) เขื่อนสานะคาม ส่วนคณะทำงานฝ่ายไทย ระบุชัดเจน ต้องประเมินข้อมูลเชิงลึก เพื่อรับมือป้องกันผลกระทบข้ามพรมแดน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เป็นรูปธรรม

ภาพจาก : สทนช.


ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. กล่าวถึงผลการประชุมคณะทำงานด้านเทคนิคคณะกรรมการร่วม (JCWG) ของสมาชิกลุ่มน้ำโขงตอนล่าง 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม และไทย ครั้งที่ 2 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ตามระเบียบปฏิบัติเรื่องการแจ้งการปรึกษาหารือล่วงหน้าและข้อตกลงโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสานะคาม ของ สปป.ลาว (PNPCA) เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า ที่ประชุมมีประเด็นหารือที่สำคัญ คือ การพิจารณาร่างรายงานการทบทวนทางเทคนิค (TRR) เขื่อนสานะคาม ซึ่งที่ประชุมมีมติตีกลับร่างรายงาน ไปทบทวนในรายละเอียดให้รอบด้านอีกครั้ง เนื่องจากมีหลายประเด็นที่ยังมีข้อสรุปที่ได้ ยังไม่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประเทศสมาชิกเกิดความมั่นใจต่อโครงการดังกล่าวได้ โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบข้ามพรมแดนที่จะกระทบกับประเทศไทยโดยตรง ซึ่งไทยได้เสนอข้อคิดเห็นไปยังประเทศผู้พัฒนาโครงการและสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) ในหลายประเด็นสำคัญ

ภาพจาก : สทนช.


โดยเฉพาะข้อมูลที่ชัดเจนด้านอุทกวิทยา และระบบการบริหารจัดการน้ำของเขื่อน เนื่องจากจุดที่ตั้งของเขื่อนที่เป็นเงื่อนไขสำคัญ อยู่บริเวณโค้งน้ำ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะร่องน้ำลึก และส่งผลกระทบต่อเขตแดนไทย-สปป.ลาว ดังนั้น จำเป็นต้องมีความชัดเจน และกรณีการปล่อยน้ำในช่วงฤดูน้ำหลากหรือการดำเนินการอื่นๆ ของเขื่อนสานะคาม เมื่อระดับน้ำผันผวนอาจส่งผลกระทบต่อระดับน้ำที่บริเวณท้ายน้ำ แม้ว่าในรายงานทางเทคนิคจะมีการสร้างแบบจำลองทางกายภาพมานำเสนอ แต่มีการประเมินทางต้นน้ำจากตัวเขื่อน 2.5 กิโลเมตร และท้ายน้ำ 1.7 กิโลเมตร โดยไม่ครอบคลุมพื้นที่ท้ายน้ำที่อาจได้รับผลกระทบ

ภาพจาก : สทนช.


ขณะเดียวกัน ยังต้องนำข้อมูลการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนปากลาย และเขื่อนไซยะบุรีมาพิจารณาด้วย เนื่องจากมีผลต่อการระบายน้ำเช่นกัน ที่จะทำให้การวิเคราะห์ผลกระทบเกิดขึ้นอย่างรอบด้านให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงการกระจายตัวของตะกอน ซึ่งจากการนำเสนอจากการทดสอบแบบจำลองทางกายภาพ พบว่า การระบายน้ำส่งผลให้เกิดตะกอนที่แตกต่างจากสภาพธรรมชาติ ทั้งในด้านลักษณะและปริมาณตะกอนที่ส่งผลกระทบกับประเทศไทยโดยตรง ซึ่งตั้งอยู่ท้ายน้ำ และก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงร่องน้ำลึก ซึ่งทั้งประเทศไทย และสปป.ลาวใช้เป็นเส้นเบ่งเขตพรมแดน และใช้ประโยชน์ต่อการเดินเรือ

ภาพจาก : สทนช.


ทั้งนี้ฝ่ายไทยได้ขอให้ทาง MRCS วิเคราะห์ผลกระทบและระบบติดตามตรวจสอบตะกอนและสัณฐานวิทยาของแม่น้ำด้านท้ายน้ำ รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อนิเวศวิทยาทางน้ำและการประมง ด้านเศรษฐกิจสังคมที่จะกระทบประชาชนในลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างรอบคอบ รวมถึงมาตรการในการลด หลีกเลี่ยง และบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น การประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนและผลกระทบสะสมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
นอกจากนี้ เลขาธิการ สทนช. ยังได้กล่าวอีกด้วยว่า ที่ผ่านมาฝ่ายไทยพบว่าข้อมูลโครงการไม่เพียงพอที่จะนำไปแจ้งกับภาคประชาชนในพื้นที่ และได้เรียกร้องผ่าน MRCS ให้ผู้พัฒนาโครงการปรับปรุงข้อมูลมาโดยตลอด ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้กระบวนการ PNPCA ล่าช้าไปบ้าง แต่ไทยพยายามที่จะดำเนินการตามแผนงาน (Roadmap) มาโดยตลอด ทั้งระดับปฏิบัติการ คือ การหารือภายในกับหน่วยงานทางเทคนิคที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนระดับนโยบายที่มีรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน แต่เป็นเพียงสร้างการรับรู้ในหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น แม้จะได้เชิญผู้แทน 8 จังหวัดแม่น้ำโขงเข้าร่วมเวทีผู้มีส่วนได้เสียระดับภูมิภาคเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ยังจะต้องจัดเวทีให้ข้อมูลประชาชนที่อาจได้อาจรับผลกระทบ จึงคาดหวังว่าการจัดเวทีให้ข้อมูลกับประชาชนในพื้นที่ 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขงตามกระบวนการ PNPCA ของโครงการเขื่อนสานะคามจะเกิดขึ้นได้ตามขั้นตอน เมื่อมีข้อมูลเพียงพอที่สามารถชี้แจงกับประชาชนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมถึงมาตรการเชิงป้องกัน และบรรเทาผลกระทบข้ามแดนที่อาจเกิดขึ้นต่อลุ่มน้ำโขงตอนล่างที่มีความชัดเจน เป็นรูปธรรม ในร่างรายงานการทบทวนทางเทคนิค (TRR) ให้ประเทศสมาชิกพิจารณาอีกครั้ง ก่อนนำไปสู่กระบวนการอื่นๆ ต่อไป
ดังนั้น กระบวนการสร้างการรับรู้ข้อมูลของข้อเสนอการสร้างเขื่อนสานะคามของประเทศไทยต้องเลื่อนออกไปเช่นกัน