
“หินปูนเกาะหลอดเลือดหัวใจ” ปล่อยเอาไว้อาจถึงตาย!
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 68 นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้โพสต์ข้อความเตือนผ่านเพจเฟซบุ๊ก หมอเจด ในหัวข้อ การมีหินปูนไปเกาะที่หลอดเลือดหัวใจ นั้นอันตรายถึงชีวิต สาเหตุมาจากการกินอาหารเป็นหลัก โดยระบุข้อความว่า…
“หินปูนเกาะหลอดเลือดหัวใจ” ปล่อยไว้เสี่ยงหัวใจวาย อันตรายถึงตุย!
ถ้าพูดถึง “หินปูน” หลายคนอาจคิดถึงคราบที่เกาะอยู่ตามฟัน แต่รู้มั้ยว่าหินปูนสามารถไปสะสมในหลอดเลือดหัวใจได้ด้วยนะครับ และถ้าปล่อยไว้นาน ๆ จะทำให้หัวใจวายเฉียบพลันได้เดี๋ยวเล่าให้ฟังนะครับ ว่าหินปูนเกาะหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Calcification, CAC) มันคืออะไร อันตรายแค่ไหน และเราจะป้องกันได้อย่างไร

1. หินปูนเกาะหลอดเลือดคืออะไร?
ถ้าให้อธิบายแบบเข้าใจง่าย ๆ หินปูนเกาะหลอดเลือดหัวใจ ก็คือการที่มีแคลเซียมไปสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดหัวใจของเรา โดยเฉพาะตรงที่มีไขมันและคราบพลัค (plaque) อยู่แล้ว ซึ่งคราบพลัคพวกนี้ก็มักจะเกิดจากไขมัน LDL (ไขมันไม่ดี), การอักเสบ และสารอื่น ๆ ที่ไปสะสมกัน พอแคลเซียมเข้ามาเกาะ คราบพลัคก็จะแข็งตัวขึ้นและทำให้หลอดเลือดแคบลง เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยลง ทีนี้ก็เสี่ยงที่จะเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือ ร้ายแรงสุดก็คือ หัวใจวายเฉียบพลันได้
2. มันเกิดขึ้นได้ยังไง ใครเสี่ยงบ้าง?
หินปูนเกาะหลอดเลือด ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับคนชราเท่านั้น แต่เริ่มเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 30-40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะคนที่มี พฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้
–กินอาหารไขมันสูง ของทอด ของมัน ของหวาน น้ำตาลสูง พวกนี้ทำให้ไขมันสะสมในหลอดเลือดได้เร็วขึ้น
-การสูบบุหรี่ นิโคตินและสารพิษในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดอักเสบ เสี่ยงเกิดคราบพลัคง่ายขึ้น
–ความดันโลหิตสูง ความดันที่สูงตลอดเวลาทำให้ผนังหลอดเลือดเสียหายและเกิดคราบหินปูนได้เร็ว
-การเป็นเบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูงติดต่อกันนานๆ ทำให้หลอดเลือดแข็งและอักเสบ -พันธุกรรม ถ้าที่บ้านมีประวัติโรคหัวใจหรือหลอดเลือด แสดงว่าคุณก็มีโอกาสเสี่ยงมากขึ้น –ขาดการออกกำลังกาย การไม่ค่อยขยับตัวทำให้ไขมันไม่ถูกเผาผลาญ และ สะสมในร่างกายง่ายขึ้น
–กินแคลเซียมไม่ถูกวิธี ถ้าร่างกายได้รับ แคลเซียมมากเกินไป โดยเฉพาะจากอาหารเสริมแคลเซียม โดยไม่มีวิตามิน K2 หรือแมกนีเซียมช่วยควบคุม แคลเซียมอาจไปสะสมที่หลอดเลือดแทนที่จะไปเสริมกระดูก
ซึ่งถ้ามีหลายข้อในนี้ ต้องเริ่มดูแลตัวเองแล้วนะ
3. อาการเป็นยังไง เช็กตัวเองด่วน!
หลายคนเข้าใจว่า ถ้าหลอดเลือดหัวใจเริ่มมีหินปูนเกาะ จะต้องรู้สึกเจ็บหน้าอกหรือเหนื่อยง่ายทันที แต่จริง ๆ แล้ว มันเป็นภัยเงียบ เพราะอาจไม่มีอาการอะไรเลย จนกว่าหลอดเลือดจะตีบมาก ๆ หรืออุดตันไปแล้ว แต่ถ้าเริ่มมีอาการพวกนี้ รีบไปหาหมอด่วน
-เจ็บหน้าอกแน่น ๆ โดยเฉพาะตอนออกกำลังกาย หรือ เครียดจัด
– เหนื่อยง่ายผิดปกติ ทำอะไรนิดหน่อยก็หอบ ไม่เหมือนเมื่อก่อน
-เวียนหัว หน้ามืด เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ
– ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นสัญญาณว่าหัวใจกำลังทำงานหนักกว่าปกติ
– มือ เท้า หรือ ใบหน้า มีอาการชา ถ้าหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองมีปัญหาด้วยอาจเกิดอาการแบบนี้ได้
บางคนกว่าจะรู้ตัวก็อาจสายไปแล้ว เพราะฉะนั้นอย่ารอให้มีอาการ รีบเช็กสุขภาพหัวใจตั้งแต่เนิ่น ๆ ดีกว่า
4. ตรวจยังไงให้รู้ว่ามีหินปูนเกาะหลอดเลือด?
ปัจจุบันมีวิธีตรวจที่สามารถเช็กได้ว่า เรามีหินปูนเกาะหลอดเลือดหัวใจแล้วหรือไม่ ซึ่งหมอส่วนใหญ่จะแนะนำให้ทำในคนที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง
– CT Calcium Score (เอกซเรย์คำนวณแคลเซียมในหลอดเลือด) ตรวจโดยใช้เครื่อง CT Scan ดูว่ามีแคลเซียมสะสมในหลอดเลือดหัวใจเยอะแค่ไหน ยิ่งเยอะยิ่งเสี่ยงสูง
-Echocardiogram (คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ) เช็กดูว่าหัวใจสูบฉีดเลือดปกติมั้ย
-ตรวจเลือด (เช็กไขมันและน้ำตาลในเลือด) ถ้าไขมัน LDL สูง หรือมีเบาหวาน ก็มีโอกาสเสี่ยงสูง
ถ้าผลออกมาว่ามีแคลเซียมสะสมเยอะ หมออาจแนะนำให้ปรับพฤติกรรมหรือให้ยาลดไขมัน เพื่อลดความเสี่ยงหัวใจวายในอนาคต
5. ป้องกันได้ยังไงบ้าง?
เราสามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงได้ แค่ต้องปรับไลฟ์สไตล์ให้เป็นมิตรกับหัวใจมากขึ้น
-กินอาหารดี ๆ ลดของทอด ของมัน เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช และไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด
-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แค่เดินเร็ว 30 นาทีต่อวันก็ช่วยลดความเสี่ยงได้แล้ว
-เลิกบุหรี่ ถ้ายังสูบอยู่ หยุดตอนนี้เลยดีกว่า
– ลดเครียด นอนให้พอ ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งสารที่ทำให้หลอดเลือดอักเสบและแข็งตัว
-กินยาตามแพทย์สั่ง (ถ้าจำเป็น) ถ้ามีไขมันสูง หรือความดันโลหิตสูงควรควบคุมให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
-ทานวิตามิน K2 และแมกนีเซีมควบคู่ไปด้วย จะช่วยลดความเสี่ยงได้
ทางที่ดีที่สุดคือ เช็กสุขภาพหัวใจตั้งแต่ตอนนี้ ปรับพฤติกรรม และป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป ดูแลตัวเองกันด้วยนะครับ”
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมเช็กสุขภาพและพยายามดูแลตัวเราให้ดีที่สุดนะคะ จะได้ไม่เสี่ยงกับการเป็นโรคค่ะ ‘อีจัน’ เป็นห่วง
ขอบคุณข้อมูลจาก เพจเฟซบุ๊ก หมอเจด
https://www.facebook.com/share/p/1A5wxB4m5K