เปิดคำพิพากษาศาลยกฟ้องผู้จัดการ หลัง อ้อย เข็มทิศชีวิตฟ้องหมิ่น

เปิดคำพิพากษาสุดลึกซึ้ง หลังศาลยกฟ้องคดี อ้อย เข็มทิศชีวิต ฟ้องหมิ่น สื่อผู้จัดการ ระบุ พระพุทธเจ้าเผยแพร่ธรรมะโดยไม่หวังผล แต่โจทก์อ้างศาสนาเพื่อทำมาหากิน

จากกรณีที่ นางสาวฐิตินาถ ณ พัทลุง หรือครูอ้อย เข็มทิศชีวิต ไลฟ์โค้ชชีวิตที่นำหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาเปิดคอร์สอบรมให้กับผู้ที่สนใจ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ไทยเวิลด์ มีเดีย จำกัด หรือ สื่อผู้จัดการ จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และละเมิด พร้อมเรียกค่าสินไหมทดแทนจำนวน 5,052,777 บาท  

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2566 เพจเฟซบุ๊กผู้จัดการสุดสัปดาห์ ได้โพสต์ภาพของ น.ส.ฐิตินาถ และบุคคลในวงการบันเทิงอื่นๆ พร้อมข้อความประกอบภาพว่า รวมคนดังชีวิตหวิดพังเพราะเข็มทิศ และอีกข้อความที่ว่า เป็นประเด็นอย่างต่อเนื่องสำหรับคอร์สหลักสูตร เข็มทิศชีวิต ของครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ศาลได้มีคำพิพากษาออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษายกฟ้อง สื่อผู้จัดการ ว่าไม่ได้กระทำการหมิ่นประมาท นางสาวฐิตินาถ ณ พัทลุง หรือครูอ้อย เข็มทิศชีวิต 

แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนทั้งแปลกใจ ทึ่งไปกับความหมายสุดลึกซึ้งนั่นก็คือ เหตุผลที่ศาลหยิบยกขึ้นมาเพื่อประกอบการพิจารณาเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพุทธประวัติ พระโพธิสัตว์ ถือเป็นการอ้างอิงหลักธรรมคำสอนทางธรรม มาใช้พิจารณาคดีของทางโลกที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย 

โดยศาลได้หยิบยกเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ยอมละทิ้งราชสมบัติ บุตร และภรรยาเสด็จหลีกออกผนวชแสวงหาทางพ้นทุกข์ ก่อนจะตรัสรู้สำเร็จเป็นองค์พระอรหันตระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนไปสู่ผู้ที่มีความศรัทธา โดยการกระทำดังกล่าวนี้มิปรารถนาในลาภ ยศ คำสรรเสริญ หรือทรัพย์สินเงินทองใด ๆ และหน้าที่ดังกล่าวนี้ก็เป็นของสงฆ์ นักบวช ที่ได้รับการศึกษาธรรมวินัยจนสำเร็จ  

จึงไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่เหล่าพุทธบริษัท 4 ผู้หนึ่งผู้ใด ที่ได้เรียนรู้พระธรรมแล้วจะอาศัยเอาพระธรรมนั้นออกแสดงเพื่อการค้า หรือเพื่อแสวงหาผลกำไร เพราะเป็นการตีราคาพระธรรมคำสอนเทียบค่ากับเงินทอง เป็นการกระทำที่ไม่เคารพต่อพระรัตนตรัยประการหนึ่ง และผู้ตั้งตนเป็นครูอาจารย์ต้องเป็นผู้ได้เปรียญธรรมหรือศึกษาปฏิบัติธรรม 

ดังนั้น เมื่อคดีนี้โจทก์เป็นผู้ยังไม่ได้เปรียญธรรมมีแต่ปริญญาทางโลก ได้ยอมรับว่าได้นำเอาหลักศาสนาพุทธมาใช้เป็นปัจจัยในการประกอบธุรกิจ มีรายได้และผลกำไรจากการเปิดคอร์สอบรม เข็มทิศชีวิต เป็นเงินไม่น้อยประมาณปีละ 10 ล้านบาทขึ้นไป 

และเมื่อพิจารณาจากเอกสารข่าวของสำนักข่าวรวม ๔ สำนัก ที่ลงข่าวในเดือน พ.ค. และ มิ.ย. ๒๕๖๖ มีเนื้อความกล่าวถึงพฤติการณ์ที่มีผู้เข้าคอร์ส เข็มทิศชีวิต กล่าวถึงพฤติกรรมของโจทก์ในการดำเนินงานเปิดคอร์สอบรมในทางเป็นลบต่อตัวโจทก์ สอดคล้องกับคำตอบถามค้านของพยานโจทก์ว่า โจทก์เป็นไลฟ์โค้ชชื่อดัง มีรายได้จากการเปิดคอร์ส อบรม เข็มทิศชีวิต หลายสิบล้านบาทต่อปี ได้ประสบปัญหาในเรื่องความไว้วางใจจากบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนที่เคยใกล้ชิดสนิทสนมและเคยเปิดคอร์สอบรม เข็มทิศชีวิต ของโจทก์ ต่างทยอยถอนตัวออกไปอยู่ห่างจากโจทก์ และไม่ยินยอมให้โจทก์ใช้ภาพถ่ายของเขาเหล่านั้น ที่เคยถ่ายร่วมกับโจทก์ 

จึงต้องเชื่อได้ว่าตัวโจทก์เป็นคนที่ได้กระทำให้บุคคลผู้เสียเงินสมัครเข้าอบรมคอร์ส “เข็มทิศชีวิต” ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ทั้งในด้านชื่อเสียงและเงินทอง จึงนับว่าเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยหลักธรรมอันเป็นหลักการของศาสนาพุทธ ดังนี้ โจทก์จึงไม่อาจอาศัยการกระทำที่ขัดแย้ง ไม่ตรง และไม่เป็นไปโดยชอบด้วยคำสอนของพระศาสดา มีเจตนามุ่งหวังและแสวงหากำไรเป็นประโยชน์เฉพาะตน มาใช้เป็นฐานรองรับในการขอใช้อำนาจแห่งกฎหมายคุ้มครอง การกระทำดังกล่าวว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพของตนโดยชอบธรรม เพื่อให้ลงโทษบุคคลอื่นที่กล่าวประกาศตีแผ่และตำหนิติเตียนเฉพาะแต่การกระทำและผลของการกระทำของโจทก์ โดยไม่ใช่เป็นการใส่ร้ายในเรื่องส่วนตัวของโจทก์แต่ประการใด ดังนี้โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัยในคดีอาญา ที่จะมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ 


คลิปอีจันแนะนำ

ชัยวัฒน์ งานเข้า! ส.ป.ก. แจ้งจับ ถอน 27 หลักหมุดโคราช