ปาฏิหาริย์ “พระแสงราวเทียน” กลับคืนสู่วัดมหาธาตุฯ หลังหายค่อนศตวรรษ

ปาฏิหาริย์ “พระแสงราวเทียน” กลับสู่วัดมหาธาตุฯ อีกครั้ง หลังหายค่อนศตวรรษ เตรียมจัดแสดงโชว์ในงานสมโภช พระอาราม 338 ปี 27 ธ.ค. 66 -2 ม.ค. 67

ลูกเพจเคยเจอเรื่องราวที่คิดว่าเป็นปาฏิหาริย์กันบ้างมั้ยคะ งานนี้เกิดปาฏิหาริย์ที่เชื่อว่าทุกคนรู้แล้วต้องอึ้งเลยค่ะ เมื่อ “พระแสงราวเทียน” ที่หายไปค่อนศตวรรษ ได้กลับคืนสู่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์อีกครั้ง และกำลังอยู่ในช่วงเตรียมถวายคืนสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ให้ทันงานสมโภช พระอาราม 338 ปี  

พระแสงราวเทียน คือพระแสงดาบคู่พระทัยที่ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงใช้ในการศึกตลอดพระชนม์ชีพ เพื่อกู้บ้านเมืองจากข้าศึก ด้วยความผูกพันศรัทธายาวนานที่ทรงมีต่อวัดมหาธาตุฯ ที่เคยเป็นจุดหลบภัย จึงได้ทรงสถาปนาให้เป็นพระอารามหลวงแห่งแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงบรรพชาที่วัดนี้  

ทำให้ในคราวประชวรหนักช่วงปลายพระชนม์ชีพ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทได้เสด็จพระราชดำเนินจากวังหน้ามากราบลาสักการะพระประธานในพระอุโบสถใหญ่ น้อมถวายพระแสงทำเป็นราวเทียนเพื่อเป็นพุทธบูชา หลังจากนั้นไม่นานก็เสด็จสวรรคต 

พระแสงราวเทียนได้อยู่คู่วัดมหาธาตุฯ มาจนกระทั่งสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย คาดว่าน่าจะเป็นช่วงการบูรณะหลังคาพระอุโบสถราว ปี 2500 ค่ะ 

โดย อ.ปริญญา สัญญะเดช นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญศาสตราวุธ ซึ่งเคยบวชที่วัดหาธาตุประมาณ ปี 2544 ได้รู้ข้อมูลและรูปพรรณของพระแสงราวเทียน จากอัลบั้มภาพเก่าและได้ข้อมูลจากผู้ทรงความรู้หลายท่านที่เคยอยู่ร่วมยุคสมัยก่อนที่พระแสงราวเทียนจะได้หายไป รวมถึงการบอกเล่าของพระพรหมวชิราธิบดีอธิบดีสงฆ์ จึงพยายามสืบเสาะ ค้นหาพระแสงสำคัญองค์นี้มาโดยตลอด  

จนกระทั่งไม่นานมานี้ มีผู้รู้แจ้งเบาะแสให้ตามไปพบ พิจารณาจนมั่นใจในลักษณะ รูปทรงใบดาบ เนื้อโลหะ และการประดับตกแต่งติดตั้งราวเทียน จึงนำกลับคืนมาเก็บรักษาไว้ และติดต่อพระผู้ใหญ่แห่งวัดมหาธาตุฯ  

วันที่ 20 ธ.ค.66 พระราชวชิราธิบดี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ได้รับมอบพระแสงราวเทียนจาก อ.ปริญญา สัญญะเดช เพื่อเตรียมถวายคืนต่อพระพักตร์พระบวรราชานุสาวรีย์ ให้ทันการสมโภชพระอาราม 338 ปี ในระหว่างวันที่ 27 ธ.ค. 66 -2 ม.ค. 67  

โดยคณะกรรมการจัดงานฯ มีมีความเห็นว่าจะเชิญพระแสงองค์สำคัญนี้ ออกจัดแสดงในนิทรรศการ ณ พระอุโบสถ เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้ร่วมรับรู้ในพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจอันเป็นประวัติศาสตร์ของชาติ 

ทั้งนี้ อ.ปริญญา สัญญะเดช ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตราวุธ และได้ศึกษาเรื่องพระแสงราวเทียนมานานกว่า 30 ปี ได้อธิบายลักษณะของพระแสงราวเทียนโดยสันนิษฐานว่า  

“เดิมเป็นดาบญี่ปุ่นที่ทำขึ้นในสมัยเอโดะ เป็นที่นิยมใช้ในการสู้รบ เนื่องจากมีคุณภาพสูงมีความคมแกร่ง ซึ่งสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ ทรงให้นามว่า “พระแสงดาบด้ามมังกร” หรือพระแสงกระบี่ด้ามมังกร ที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์เพลงยาวรบพม่าที่นครศรีธรรมราช 

ต่อมา เมื่อถวายทำให้เป็นราวเทียนบูชา ก็ได้ลบคม และถอดด้ามออก ตกแต่งเป็นเศียรและหางนาคตามพระราชนิยม และข้อสังเกตสำคัญคือ การที่ทรงตัดสินพระทัยจะถวายเป็นพุทธบูชา ย่อมหมายถึงทรงมีพระราชประสงค์จะตัดขาดจากการสู้รบฆ่าฟันที่ต้องทรงกระทำมาตลอด ดาบจึงถูกทำให้หมดคมสิ้นสภาพความเป็นอาวุธ เปลี่ยนเป็นราวเทียนให้แสงแห่งปัญญาถวายเป็นพุทธบูชา ซึ่งไม่เคยมีกษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์ใดถวายดาบในลักษณะนี้มาก่อน นอกจากกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท”

 

ใครที่อยากไปชมพระแสงราวเทียนอย่างใกล้ชิด พร้อมกิจกรรมต่างๆ และชมสิ่งของสำคัญในประวัติศาสตร์ อย่าง เครื่องโต๊ะเครื่องตั้ง คัมภีร์และผ้าห่อพระคัมภีร์ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นมงคล ชมตลาดวัฒนธรรม อาหารไทย แพทย์และนวดแผนไทย ฟังดนตรี เจริญสมาธิและสวดมนต์ข้ามปี ห้ามพลาดเลยค่ะ  

อีกทั้ง เมื่อจบงานนี้ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ก็จะเชิญพระแสงราวเทียนนี้เก็บรักษามิดชิดถาวรต่อไป 

คลิปอีจันแนะนำ

70 ปี ปาฏิหาริย์ พระแสงราวเทียน กลับคืนสู่วัดมหาธาตุฯ