ครั้งหนึ่ง…ได้ลุยผืนป่ามรดกโลก ทุ่งใหญ่นเรศวร ชายแดนที่ลึกสุดใจ

ความทรงจำผ่านเรื่องเล่าหลังเลนส์ เมื่อครั้งหนึ่ง ได้ลุยผืนป่ามรดกโลก ทุ่งใหญ่นเรศวร

พวกเราเดินทางไปเมื่อวันที่ 4 – 6 ธันวาคม ที่ผ่านมานี้ จุดประสงค์เพื่อนำอาหารแห้ง ขนม เสื้อผ้า เข้าไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ โรงเรียนบ้านไร่ป้า ที่พักสงฆ์บ้านทิไล่ป้า หมู่บ้านทิไล่ป้า โรงเรียน ตชด.บ้านทิไล่ป้า โรงเรียนบ้านกองม่องทะ สาขาบ้านสาละวะ ที่ภายในทุ่งใหญ่นเรศวรค่ะ

การเดินทางจะเป็นยังไง มีอะไรรอพวกเราอยู่บ้าง มาติดตามไปพร้อมๆ กันเลยเมื่อครั้งหนึ่ง… จัน ได้ไปตะลุยป่า ทุ่งใหญ่นเรศวร ดินแดนลึกสุดใจกว่าจะไปถึง เส้นทางที่เป็นอุปสรรค สภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ จันเลยขอเก็บบรรยากาศทั้งหมดนี้มาเล่าให้ลูกเพจได้อ่าน ค่ะ

ก่อนจะเข้าป่าทุ่งใหญ่เรานอนพักกันที่ วัดเวฬุวัน ช่วงเช้า เราใส่บาตรพระ ขอพรพระครูภาวนาสุทธาจาร (หลวงปู่สาคร ธัมมาวุโธ) เจ้าอาวาสวัดเวฬุวัน ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี และจุดธูป เทียนไหว้พระ เพื่อความอุ่นใจของทีม

จากนั้น ก็ลงมาเตรียมข้าวของขึ้นรถกระบะโฟวิล ซึ่งกระเป๋าที่เราเอามาต้องใส่ถุงดำคลุมไว้นะคะ เพราะถนนหนทางที่เราต้องขึ้นไปนั้น พี่ๆ บอกว่า มีฝุ่นแดงๆ ตลอดทาง

อะ แต่ก่อนเดินทาง ขอบอกผู้ร่วมทริปก่อนค่ะ

ทริปนี้ประกอบไปด้วยรถทั้งหมด 4 คัน  ซึ่งคนขับประกอบด้วย พี่โป้ย พี่อ้วน พี่ซื่อ พ่อฤทัย ส่วนสมาชิกเดินทางนั้นมี พี่จัน พี่แต้ว (เพื่อนพี่จัน) เบลล่า น้องฝน พี่ภานุ พี่ประสิทธิ์ พี่นัน โจ้ น้องเอก พี่มาร์ค

เมื่อรถทุกคันพร้อมแล้ว ออกเดินทางได้!!!

เราเข้าไปที่หน่วยพิทักษ์ป่าตะเคียนทอง เพื่อมอบอาหารแห้ง เป็นกำลังใจให้ผู้พิทักษ์ป่า และพักกินข้าวกลางวันกันที่นี่ค่ะ เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ข้าวเหนียวหมู แคปหมู ข้าวกล่อง เติมพลังค่ะ

หลังจากเสร็จภารกิจที่ หน่วยพิทักษ์ป่าตะเคียนทอง และท้องก็อิ่มแล้ว ออกเดินทางต่อไปที่ โรงเรียนบ้านกองม่องทะ สาขาบ้านสาละวะ ถนนจากหน่วยพิทักษ์ป่า เข้าไปถึงโรงเรียน พี่ภานุ บอกว่า ยังถือว่าธรรมดา ยังไม่ทรหดมากนัก แต่หลังจากนี้คือของจริง

ตรงนี้ เราออกจากโรงเรียนประมาณบ่ายสามโมงเย็น ซึ่งเดี๋ยวเราต้องทำเวลาแล้วค่ะ เพราะทีมเดินทาง ไม่อยากให้ถึงที่พักสงฆ์ค่ำนัก เพราะด้วยถนนหนทางที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ รวมถึงสภาพอากาศที่ประเมินไม่ได้ ดังนั้น การไปถึงจุดหมายก่อนพระอาทิตย์ตกจะดีกว่า

จากโรงเรียน ไปถึงที่พักสงฆ์ระยะทางประมาณ 10 กิโลกว่าๆ เราออกบ่ายสามโมงเย็น เดี๋ยวมาดูกัน จะถึงกี่โมง 10 กิโลบนทางลาดชัน ทางเขา เราจะเจออะไรกันบ้างหนอ… ภาวนาขอให้ในป่าฝนอย่าตก เพราะไม่อย่างนั้น ทางจะลื่นและเป็นอุปสรรคสุดๆ

ขับขึ้นเขามาสักพักกก อุปสรรคแรกเกิด

รถของคุณพ่อฤทัย ติดดินหล่ม ล้อเกิดจมลึกลงไปเลยค่ะ บอกเลยว่างานงอก งานนี้เลยต้องเอาวินซ์มาช่วยในการดึงรถขึ้นจากหล่มค่ะ จุดนี้เราใช้เวลาในการวินซ์ประมาณ 10 นาที ก็เดินทางต่อได้ค่ะ

นี่เราอยู่ในป่าทุ่งใหญ่นเรศวรกันแล้วนะคะ

บอกเลยว่า ไร้สัญญาณมือถือ ไร้อินเทอร์เน็ต

ดังนั้น เวลานั่งรถก็เลยต้องใช้วิทยุสื่อสารในการสื่อสารกันค่ะ

ขับมาอีกสักพักใหญ่ๆ แค่ 1 ใน 4 ของเส้นทาง

คราวนี้ รถของพี่ซื่อ เพลาข้างของล้อขวาขาด ค่ะ ปัญหาใหญ่เลยอันนี้ ทุกคันลงมาช่วยกัน แต่ เราไม่มีอะไหล่

ซึ่งระหว่างที่ซ่อม เพื่อที่จะเดินหน้าต่อไปได้ จู่ๆ ฝนก็ลงเม็ด บอกเลยว่าก็คูณความยากลำบากเข้าไปอีกค่ะ เราอยู่ตรงจุดนี้ชั่วโมงกว่าๆ เพราะต้องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ตัดสินใจที่จะทิ้งรถของพี่ซื่อเอาไว้ แล้วที่เหลือ 3 คัน ก็เดินทางต่อ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เพราะถ้านานกว่านี้ พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า การเดินทางจะเป็นอุปสรรคมากขึ้นไปอีก

ส่วนรถที่รออะไหล่ เดี๋ยวพอ 3 คันที่เหลือไปถึงจุดหมายแล้ว จะลงมาช่วยเปลี่ยนอะไหล่รถค่ะ

เกือบๆ 5 โมงเราเดินทางต่อ และจากนี้ไปทางจะแย่ลงเรื่อยๆ ผ่านป่า ผ่านเขา และทางที่กำลังจะไปถึงอีกจุดนั้น พี่ภานุบอกว่าเป็นอีกจุดที่อันตรายมากๆ เพราะเป็นทางลาดชัน คนที่อยู่บนรถต้องลงรถแล้วให้คนขับขับขึ้นเนินไป

และแล้วเนินชันยาวอันตรายสุดก็มาถึง คนขับต้องอัดเกียร์ 2 ยาว เหยียบจนเสียงเครื่องร้องดังสนั่น จนขึ้นมาถึงบนเนิน บอกเลยกว่าจะมาได้ทางค่อนข้างลื่นทำให้ล้อปั่นฟรีแล้วลื่นไถลลงมา แต่สุดท้ายก็ขึ้นเนินสำเร็จ

และหลังจากนี้ขึ้นเขายาวตลอด บอกเลยว่าทางชันมากๆ ประกอบกับในป่ามีความชื้นสูงแถมมีฝนตกมาก่อนหน้านี้ ทำให้ทางค่อนข้างลื่นและยังมีร่องน้ำไหลกัดเซาะถนนเป็นร่องลึก ทำให้ต้องใช้ฝีมือในการคร่อมพอสมควร (ต้องชำนาญเส้นทางมากๆ เลยนะ เพราะขับยากมากกกก)

จุดนี้ที่ผ่านมานี่อันตรายสุดเพราะข้างๆ เป็นเหว และเคยเกิดอุบัติเหตุสลดมาแล้ว ข้างทางยังเหลือซากหลังคารถที่เป็นรถที่เกิดอุบัติเหตุอยู่เลย…

ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่เรายังไม่ถึงจุดหมายเลยค่ะ นั่นคือ ที่พักสงฆ์บ้านทิไล่ป้า ระยะทางแค่ 10 กว่ากิโล แต่ด้วยสภาพของถนนหนทาง ที่ไม่ค่อยดี (เรียกว่าลำบากสุดๆ เลยแหละ) รวมถึงอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่ากำหนดไปมาก

พอมืดแล้ว ทุกอย่างคือ มองไม่เห็นเลย มีเพียงแสงไฟหน้ารถเท่านั้น และการขับก็ต้องใช้ความระมัดระวังมากๆ เลยค่ะ

ดูนาฬิกาข้อมือ บอกเวลา 2 ทุ่มกว่าแล้ว… แต่ยังไม่ถึงจุดหมาย 10 กิโลบนเขาช่างยาวนาน และเส้นทางต่อจากนี้จะวิ่งขึ้นลงเขาตลอด  ทางจะลื่นและชัน พอหมดเขาแล้วก็จะถึงไล่ป้า เราก็ขับขึ้นๆ ลงๆ เขาด้วยความลำบากพอดู เพราะฝนตก วิสัยทัศน์ไม่ค่อยดี แถมทางลื่น บางช่วงก็เลียบเหว ทำให้การเดินทางทุลักทุเลพอควร (แอบเข้าใจแล้วว่า ทำไมพี่ๆ ถึงบอกอยากให้ถึงทิไล่ป้าก่อนค่ำ ฮ่าๆ)

และในที่สุดดด 3 ทุ่ม ทีมก็เดินทางมาถึงที่พักสงฆ์บ้านทิไล่ป้า เป็นการเดินทางที่ยาวนานมากกกกกจริงๆ ค่ะ เรามาถึงตอน 3 ทุ่ม พอถึงก็ขนของลง กินข้าว ส่วนพี่อ้วน ก็ขับรถลงไปตรงจุดที่รถเสียเพื่อเอาอะไหล่ไปซ่อมรถ แต่ต้องบอกว่า อุปสรรคยังไม่หมด ตอนแรกทุกคนคิดว่า ที่พักสงฆ์น่าจะมีอะไหล่รถ แต่พอไปถึงสรุปว่า ไม่มี ก็เลยต้องหาอะไหล่กันใหม่ และคาดว่า ต้องนอนที่พักสงฆ์ 2 คืน จากเดิมเราจะขึ้นไปจะแก และไปวัดวาชูคุ เลยต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันเลยค่ะ

คืนนี้ กางเตนท์นอนกัน ซึ่งเบลล่าก็ไม่เคยกางเตนท์ เลยต้องพึ่งพา พี่จัน พี่แต้ว น้องฝน ช่วยกางให้ ฮ่าๆ ขอบคุณมากๆ นะคะ ไม่งั้นคงไม่มีที่นอน อิอิ

กางเตนท์เสร็จก็อาบน้ำอาบท่า เตรียมนอน

อากาศที่นี่ กำลังดีเลยนะ ไม่ได้หนาวไป หรือ ร้อนไป ธรรมชาติสุดๆ เลย เรานัดกันว่าจะตื่นแต่เช้า และไปเดินตามพระอาจารย์อุ้ย (พระอภิรักษ์ อภิวโร) บิณฑบาต เดี๋ยวเราจะมาเล่าเรื่อง พระอาจารย์อุ้ย ให้ฟังนะคะ ท่านเป็นพระวัดป่านักพัฒนา อยู่ที่ที่พักสงฆ์แค่คนเดียว แต่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวกะเหรี่ยงค่ะ

เกือบๆ 7 โมง เราเดินตามพระอาจารย์อุ้ย บิณฑบาต ตามบ้านของชาวกะเหรี่ยง เราได้สัมผัสธรรมชาติ วิถีชีวิตของพวกเขาค่ะ ชาวกะเหรี่ยงที่นี่เป็นกะเหรี่ยงโป เขาตื่นแต่เช้า เพื่อรอใส่บาตร แต่ละบ้านมีลูกเด็กเล็กแดงตัวน้อยเต็มไปหมด น่ารักน่าเอ็นดูที่สุด

เด็กๆ ที่นี่ พอใส่บาตรเสร็จเขาก็จะเดินตามพระบิณฑบาตไปด้วย เป็นภาพที่น่ารักมากๆ และยังทำให้เห็นว่า ชาวกะเหรี่ยงเขาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

อ้อ เหมือนจะลืมบอก ที่พักสงฆ์ไม่มีไฟฟ้านะคะ ใช้แสงไฟจากโซลาเซลล์ พอ 4 ทุ่ม ทุกอย่างก็มืดมิด ไม่มีสัญญาณมือถือ ไม่มีอินเทอร์เน็ต ก็คือ อยู่กับธรรมะ อยู่กับตัวเอง สัมผัสธรรมชาติ บอกเลยว่า โซเชียลดีท็อกซ์เลยล่ะ

แล้วก็ เราเอาเสบียงบุญมาแจกเด็กน้อย กับชาวบ้านด้วย มารอกันเต็มลานที่พักสงฆ์เลย ให้ทุกบ้าน ให้ทุกคน เด็กแฮปปี้ ชาวบ้านแฮปปี้ เราก็สุขใจไปด้วยเนอะ ^^

อยู่แบบไร้สัญญาณก็ดีเหมือนกันนะ ตอนแรกคิดว่าเวลาต้องผ่านไปช้าแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ พอได้นั่งคุยกับชาวบ้าน เดินไปดูลำห้วย เดินไปดูโรงเรียน แปปๆ ก็หมดวันแล้ว

2 วัน 2 คืน บนทิไล่ป้า ผ่านไปอย่างไวเลย

อ้อ ย้อนกลับไป จำได้ไหม ตอนมา มา 4 คัน รถเสีย ไป 1 คัน ทำให้เหลือ 3 คัน วันที่เราจะลงจากทิไล่ป้า รถพี่ซื่อซ่อมจนเสร็จ ก็ขับกลับมารับทีมได้เหมือนเดิม เอาเป็นว่า มา 4 คัน ก็ลง 4 คันนะ ^^

ถึงเวลากลับลงไปสู่โลกอีกครั้ง

อยากบอกว่า ขาลงเราเริ่มชิน และพอรู้เส้นทาง ก็เลยรู้สึกว่า ไวกว่าตอนที่มา

ซึ่งอยากบอกว่าระยะทาง 10 กิโลเมตรถ้าเป็นช่วงหน้าแล้งการเดินเท้าหรือ ขับรถ ก็พอจะทำได้สะดวก แต่ก็ยังต้องใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว แต่ปัญหาคือหากมีเรื่องเร่งด่วน หรือเหตุฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือ ด้วยระยะเวลาเดินทางขนาดนี้อาจจะนานเกินไป

และยิ่งถ้าเป็นหน้าฝน หรือฝนตก แทบไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะระยะเวลาในการเดินทางก็จะยิ่งช้าลงไปอีกมาก ซึ่งอีกปัญหาหนึ่งก็คือถ้ามีคนเจ็บป่วย เป็นอะไรที่เสี่ยงมากๆ เพราะระยะทางกว่าจะลงมาถึงสถานพยาบาล บวกกับเส้นทางที่แสนจะลำบาก เป็นหล่ม เป็นทางลาดชัน เป็นเหว บางคนเสียชีวิตระหว่างทางก็มี ยิ่งถ้าคนท้อง คนแก่ ก็คือ ลำบากมากๆ บอกเลยว่า ฝนตก กรณีที่ร้ายแรงที่สุดก็คูณความยากลำบากเข้าไปอีกประมาณ 10 เท่าเลยค่ะ

มาเล่าพอหอมปากหอมคอ ว่าครั้งหนึ่งเราได้ตะลุยป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ดินแดนที่ลึกแบบสุดใจ

สุดท้ายขอบคุณพี่ๆ ทุกคนที่ดูแลทีมอีจันมาตลอดทาง นะคะ ทริปนี้รอดกันออกมาได้เพราะพี่ๆ ทุกคนช่วยกันเลยค่ะ ^_^