DSI คาด จยย. บิลลี่ยังอยู่ในพื้นที่ที่เจอกระดูก

DSI ยังไม่ออกหมายเรียก ผู้ต้องสงสัยคดีบิลลี่ คาด จยย. ที่หายไปยังอยู่ในพื้นที่ที่เจอกระดูก

หลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พบหลักฐานเชื่อมโยงการหายตัวของบิลลี่ เจอถังน้ำมัน 200 ลิตร และชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์อยู่ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน ภายในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ต่อมามีการนำชิ้นส่วนกระดูกไปตรวจสอบ พบมีสายพันธุกรรมสัมพันธ์กับแม่ของ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ที่หายตัวไปนาน 5 ปีนั้น

บิลลี่
19 กันยายน 2562 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พ.ต.ท.กรวัชร์​ ปานประภากร รองอธิบดี DSI ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับความคืบหน้าการหายตัวไปของบิลลี่ โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้มีการส่งหลักฐานเพิ่มเติมกลับมาก็ได้มีการสรุปเบื้องต้น โดยลักษณะของคดีมีความคืบหน้าไปแล้วประมาณ 70% ซึ่งทั้งหมดมีส่วนสำคัญแต่ก็อยู่ในขั้นกระบวนการสอบสวน ส่วนหนึ่งก็ต้องรอในเรื่องของการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ก็ต้องรอผลเพื่อนำมาประกอบในทางคดีด้วย
DSI เเถลง
นอกจากนี้ปฏิเสธข่าวว่า ได้ตัวพยานที่ชำแหละรถจักรยานยนต์ของบิลลี่ ที่หายไปพร้อมกับบิลลี่ว่า ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้ ยังคงเดินหน้าติดตามหารถอยู่ ซึ่งคาดว่าจะถูกทิ้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงจุดที่พบเศษกระดูกของบิลลี่
DSI
อีกทั้งยังยืนยันว่า ณ ขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายเรียกผู้ต้องสงสัยมาให้ปากคำ เพราะยังอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จทันกรอบเวลา 3 เดือน ซึ่งจะมีการประชุมความคืบหน้าคดีอีกครั้งในวันที่ 26 กันยานยนนี้ ทั้งนี้ DSI ได้ให้เจ้าหน้าที่เร่งรัดประสานงานสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อขอรับสำนวน การไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ท. กรณีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีมีการจับกุมตัวบิลลี่ในความผิดตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติฯ แล้ว ไม่ดำเนินคดี โดยอ้างว่าปล่อยตัวไปที่ส่งมอบให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มาเพื่อรวมเรื่องดำเนินการโดยเร็ว
DSI
รวมถึงมีการสอบสวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมจำนวนหนึ่ง และมีการ ประสานกับสถาบันนิติวิทยศาสตร์และศูนย์พิสูจน์หลักฐานภาค 7 เพื่อติดตามผลการตรวจพิสูจน์ทาง นิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งการดำเนินการใกล้เสร็จสิ้นและจะออกรายงานการตรวจพิสูจน์เพื่อส่งมอบให้พนักงาน สอบสวนคดีพิเศษต่อไป
DSI
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือถึงรูปคดีและพยานหลักฐานที่ต้องรวบรวมเพิ่มเติม และเมื่อได้ ข้อเท็จจริงครบถ้วนแล้วจึงจะพิจารณาว่ามีพยานหลักฐานพอกล่าวหาบุคคลใดในฐานความผิดใดบ้าง และ จะได้ดำเนินการออกหมายเรียกผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหาหรือร้องขอต่อศาลเพื่อออกหมายจับทันที