นันยาง ประกาศจุดยืนยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียน “BULLY NO MORE”

“นันยาง” ประกาศจุดยืนเป็นแนวร่วมเด็กไทยยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียน ด้วยแคมเปญ “BULLY NO MORE” ชูแนวคิด ย่ำให้เต็มที่แต่ไม่ย่ำยีใคร

ถึงเวลาแล้วที่การบูลลี่ในโรงเรียนต้องจบ!

นันยาง ประกาศจุดยืนเป็นแนวร่วมเด็กไทยยุติปัญหา ด้วยแคมเปญ “BULLY NO MORE” 

หลัง กรมสุขภาพจิต เผย ไทยกลายเป็นประเทศที่มีปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก

และจากการเจาะลึกอินไซต์เด็กนักเรียนไทย พบว่า ฝันสูงสุดคือต้องการหยุดปัญหาและพฤติกรรม “การบูลลี่ในโรงเรียน” ให้หมดไป

ดร.จักรพล จันทวิมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า เพื่อยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียน นันยางได้ทำแคมเปญ “BULLY NO MORE” ทำสื่อที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับ “คำขอโทษจากนันยาง”  ที่ไม่เพียงแต่ต้องการแสดงให้สังคมเห็นถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่นันยางได้เคยสื่อสารไปในอดีต ซึ่งบางครั้งอาจมีเนื้อหาบางส่วนเข้าข่ายการบูลลี่โดยไม่ได้ตั้งใจ และการออกมาขอโทษของเราในครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะจุดประกายแนวคิดให้แก่นักเรียนที่เคยมีพฤติกรรมการบูลลี่คนอื่น ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามได้เกิดการฉุกคิดและปรับเปลี่ยนมุมมองต่อเรื่องนี้

สำหรับแคมเปญ “BULLY NO MORE” นันยางได้พัฒนารองเท้าผ้าใบนักเรียนรุ่นพิเศษ “Nanyang ‘BULLY NO MORE’ Special Edition” ที่สละพื้นที่โลโก้นันยางบนรองเท้า ให้เป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE เพื่อประกาศจุดยืนในเรื่องนี้ให้ชัดเจน โดยชวนนักเรียนทั่วประเทศเป็นแนวร่วมนำรองเท้าคู่เก่ามาแลกรองเท้ารุ่นพิเศษนี้ ซึ่งรองเท้าคู่เก่าที่นำมาแลกจะถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงาน Art Installation ที่ประกอบขึ้นเป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE 

ที่สำคัญ! ทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ จะเป็นหนึ่งพลังสำคัญของจุดยืนที่จะยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียน และนันยางจะใช้โอกาสของการร่วมกันประกาศจุดยืนนี้ ตอกย้ำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในการยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนให้หมดไปผ่านแนวคิด “ย่ำให้เต็มที่ แต่ไม่ย่ำยีใคร”

ส่วนภาพรวมตลาดรองเท้านักเรียนในไทย ปี 2566 ดร.จักรพล คาดว่า ยอดขายนันยางจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยรองเท้าผ้าใบนักเรียนของนันยางจะมีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 8-10% ซึ่งเติบโตสูงกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะอยู่ประมาณ 3-5% ด้วยปัจจัยกำลังซื้อเริ่มกลับมาหลังจากการประกาศให้โควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น ทำให้ผู้คนกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ และเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ระบบทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเกิดความคล่องตัวเพิ่มขึ้นกว่าช่วง 3 ปีที่ผ่าน รวมทั้งการเปิดเทอมของนักเรียนในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้

“ปัจจุบันตลาดรองเท้านักเรียนทุกประเภทในไทยมีมูลค่ารวมประมาณ 5,000 ล้านบาท หากพิจารณาเฉพาะตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียน พบว่า นันยางครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ 43-44% ซึ่งในปี 2566 นอกจากรองเท้าผ้าใบไซส์ใหญ่ของนันยางที่สามารถสร้างส่วนแบ่งการตลาดให้เพิ่มขึ้นแล้ว บริษัทฯ ยังได้กำหนดกลยุทธ์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มรองเท้านักเรียนไซส์เล็กให้มากขึ้นด้วยเช่นกันจากการรุกทำการตลาดของรองเท้าผ้าใบนักเรียนรุ่น นันยาง Have Fun ที่มีคุณสมบัติ เบา นุ่ม สบาย ไม่ต้องผูกเชือก ลดการสัมผัสเชื้อโรค ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี”

สำหรับช่องทางการขายต่างประเทศ ดร.จักรพล กล่าวว่า นันยางยังคงมียอดขายเพิ่มขึ้น จากกลยุทธ์การร่วมมือกับภาครัฐนำสินค้าไทยไปขยายตลาดในต่างประเทศ มีการออกบูธแสดงสินค้าในต่างประเทศ ส่งผลให้รองเท้าผ้าใบนันยางเป็นที่รู้จักในระดับสากลมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายสำคัญอย่างในวงการกีฬาตะกร้อ และเทคบอลที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบันด้วย จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งใน Soft Power ของไทยในปัจจุบัน