
วันนี้ (5 ส.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจาก “วิว” หรือ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักกีฬาแบดมินตัน โดยเป็นตัวแทนประเทศไทยร่วมชิงชัยในมหกรรมการแข่งกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยล่าสุดโชว์ฟอร์มแกร่งด้วยการเข้ารอบชิงชนะเลิศ ประเภทชายเดี่ยว ซึ่งเป็นการเข้าชิงครั้งแรกของไทย หรือเรียกว่าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการแบดมินตันไทย
เพราะการที่ “วิว” สามารถปราบคู่แข่งสุดหินมาได้จนทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยการรันตีระหว่างเหรียญทอง และเหรียญเงิน ซึ่งการเข้ารอบครั้งนี้ถือเป็นแม็ตซ์ประวัติศาสตร์ไทย หากย้อนกลับไปในปี 2493 หรือ 74 ปีก่อน ได้ก่อตั้งสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ และส่งนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทยเข้าร่วมในกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในที่บาร์เซโลน่า 1992 หรือเมื่อ 32 ปีก่อน
สำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ล่าสุดวันนี้ (5 ส.ค.67) เตรียมแข่งขันแม็ตซ์หยุดโลก ซึ่ง “วิว” จะทำการแข่งขันกับ “วิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น” จอมอึดที่เก่งทั้งเกมบุกและเกมรับอันเหนือชั้น ดีกรีมือวางอันดับ 2 ของโลก จากประเทศเดนมาร์ก สำหรับเวลาการแข่งขันคือ 20.40 น. (เวลาประเทศไทย) คนไทยทั้งชาติเปิดแจ้งเตือน และร่วมลุ้นไปพร้อมกันกับประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่จะถูกเขียนขึ้นนี้
ทั้งนี้ สำหรับผลงานของ “วิว” กว่าจะเข้ารอบมาชิงชัยในโอลิมปิกครั้งแรกก็เจอแต่ด่านคู่แข่งสุดหิน ซึ่งรอบรองชนะเลิศ หรือ รอบ 4 คนสุดท้าย “วิว” ชนะ ลี ซี เจีย มืออันดับ 7 ของโลกจากมาเลเซีย และรอบก่อนรองชนะเลิศเอาชนะ ฉี ยู่ฉี มือ 1 ของโลกจากจีน ที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับคนไทยในการแข่งขันครั้งนี้สุดๆ

อย่างไรก็ตาม “วิว” กลายเป็นนักกีฬาดาวรุ่งคนดังของไทยที่ประความสำเร็จขั้นสุดในอาชีพในอายุเพียง 23 ปี กับการเข้าร่วมมหกรรมโอลิมปิก 2024 ซึ่งประวัติของวิวได้เปิดเผยให้ทราบกันอย่างแพร่หลาย ถึงความแข็งแกร่ง และพรสวรรค์ จากการการันตีด้วยผลงาน
อาทิ คว้าแชมป์เยาวชนโลกได้ถึง 3 สมัย ในปี 2560, 2561 และ 2562 ทำลายสถิติของนักแบดมินตันระดับตำนานของจีน เฉิน จิ้น ที่เคยทำได้ในปี 2545 และ 2547 โดยเจ้าตัวยังคว้าแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันเหมือนที่ “เมย์” รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันสาวไทยรุ่นพี่ ที่เคยทำได้ในเมื่อปี 2552-2554
ในปี 2564 ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยการก้าวมาเป็นกำลังสำคัญในทีมชาติชุดใหญ่ คว้ารองแชมป์ในการแข่งขันแบดมินตันรายการ “โยเน็กซ์ สวิส โอเพ่น 2021” และสามารถคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของปี 2020/2021” หรือ Eddy Choong Most Promising Player of the Year
ทั้งนี้ การเดินทางของ “วิว” กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ผ่านเรื่องราวมากมายเช่นกัน โดย เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง ได้โพสต์ข้อความระบุถึงเส้นทางการเป็นนักกีฬาแบดมินตันของ “วิว” ไว้อย่างน่าสนใจ
โดยปี 2013 คุณแม่ของวิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์ เดินทางมาที่โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด เพื่อเข้าพบกับ “แม่ปุก” กมลา ทองกร เจ้าของโรงเรียน จุดประสงค์คือมาขอทุน ให้ลูกชายได้เป็นนักกีฬาในการดูแลของบ้านทองหยอด ซึ่งบ้านทองหยอดตอบรับทันทีที่วิวสนใจเข้ามาอยู่ในสังกัด
เพราะวิว ในตอนนั้นคือเด็กที่เก่งที่สุด ขณะที่ สุดเขต ประภากมล อดีตนักแบดมินตัน เคยบอกว่า ‘เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ น่าเอามาส่งเสริม’ และเป็นดังที่คาดไว้ เมื่อวิว ย้ายเข้าบ้านทองหยอดก็ไล่ถล่มเด็กรุ่นเดียวกันขาดลอย ตอนอายุ 12 ปี ก็ไม่มีเด็ก 12 คนไหนสู้ได้ พออายุ 13 ก็เอาชนะเด็ก 13 สบายๆ แต่ปัญหาคืออ วิวยังไม่ดีพอที่ข้ามรุ่น ไปชนะเด็กที่อายุมากกว่า 3-4 ปีได้
โค้ชเป้-ภัททพล เงินศรีสุข อดีตนักกีฬาทีมชาติ เล่าว่า “วิวเป็นคนมีเทคนิค และมันสมองที่เก่งกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ถ้าคนไม่เคยดูแบดมินตัน อยากให้นึกถึงโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ นั่นคือวิวจะเล่นฉลาด และเลือกช็อตได้ถูกต้องเสมอ”
“แต่สิ่งที่วิวยังขาดไป คือเรื่องสภาพร่างกาย ณ เวลานั้น เขายังไม่รู้จักวิทยาศาสตร์การกีฬา เขาเป็นเด็กที่เจ้าเนื้อหน่อย ไม่ดูแลตัวเองดีพอ ดังนั้นเราก็ต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งการกิน การใช้ชีวิต และการซ้อมของน้องเขา”
“เขาเป็นเฟเดอเรอร์โดยธรรมชาติ แต่เราก็อยากให้มีความแข็งแรงแบบราฟาเอล นาดาล ผสมด้วย”

หลังจากอยู่บ้านทองหยอด 2 ปี วิวเก่งขึ้น และแกร่งขึ้น ในวัย 15 วิวติดเยาวชนทีมชาติไปแข่งที่ประเทศสเปน แต่แพ้รอบ 16 คนสุดท้าย จากนั้นพออายุ 16 ปี เขาได้แชมป์เยาวชนโลกครั้งแรกที่อินโดนีเซีย พออายุ 17 ปีได้แชมป์เยาวชนโลกครั้งที่สองที่แคนาดา และพออายุ 18 ได้แชมป์เยาวชนโลกครั้งที่สามที่รัสเซีย
แชมป์เยาวชนโลก 3 สมัยซ้อน นั่นทำให้กุลวุฒิพร้อมแล้ว ที่จะกระโดดมาสู่นักกีฬาอาชีพในวัย 19 ปี
โค้ชเป้ เล่าให้ฟังว่า ในการปั้นกุลวุฒิให้เป็นซูเปอร์สตาร์นั้น โรงเรียนบ้านทองหยอด ทำอย่าง “ใจเย็น” ไม่เร่งรัด ไม่กดดันเด็ก เพราะพวกเขาเคยมีบทเรียนมาแล้วในสมัยเมย์-รัชนก ที่เจอกับความกดดันอย่างหนัก จึงเป็นบทเรียนให้กับการพัฒนานักกีฬารุ่นต่อไปอย่างมาก
สำหรับนิสัยส่วนตัวของวิว-กุลวุฒินั้น โค้ชเป้บอกว่า เขาเป็นเด็กดี ไม่ติดเที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ สนใจแต่แบดมินตันอย่างเดียว และชอบเล่นเกมตามประสาวัยรุ่น ฟังดูเหมือนเพอร์เฟ็กต์ แต่โค้ชเป้ก็บอกว่า วิวมีจุดอ่อนอยู่เช่นกัน คือเรื่องโภชนาการ
วิว เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลังจากเป็นคนไทยคนแรกในรอบ 9 ปี ที่คว้าเหรียญทองแบดมินตันชายเดี่ยวได้ในซีเกมส์ ปี 2021 จากนั้นปี 2022 เขาสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้ชายไทยคนแรกที่เข้าชิง แบดมินตันชายเดี่ยว ในรายการชิงแชมป์โลก แต่ไปแพ้วิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น จากเดนมาร์กในนัดชิง
พอเข้าสู่ปี 2023 กุลวุฒิที่อายุ 22 ปี ก็เริ่มสุกงอม ร่างกายเขาสมบูรณ์พร้อม และมีประสบการณ์มากพอ
หลังจากเทิร์นโปรเป็นนักกีฬาอาชีพ วิวประกาศไว้ว่า ความฝันสูงสุดของเขามี 3 อย่าง คือ 1) แชมป์โลก 2) เหรียญทองโอลิมปิก และ 3) แชมป์รายการแบดมินตันที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ออลอิงแลนด์
ฝันแรกที่ไปถึงก่อน คือแชมเปี้ยนโลก ในเดือนสิงหาคมปี 2023
ทุกๆ ปี ยกเว้นปีโอลิมปิก BWF จะจัดแข่งขันศึกชิงแชมป์โลก โดยวิวเข้าชิงติดต่อกันเป็นปีที่สอง และคราวนี้ เขาไม่พลาด คว้าแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการโค่นโคได นาราโอกะ จากญี่ปุ่นในรอบชิงชนะเลิศ 2-1 เกม

ทุกอย่างเหมือนจะสวยงาม การได้แชมป์โลกอย่างรวดเร็วตั้งแต่อายุ 22 เขาน่าจะครองความยิ่งใหญ่ไปได้อีกนาน
แต่หลังจากได้แชมป์โลกปั๊บ อยู่ๆ กุลวุฒิ ก็ฟอร์มหลุดไปอย่างไม่คาดคิด
ส่วนหนึ่งเพราะเขาโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานหนัก แถมยังเป็นไข้หวัดสายพันธุ์บี จนต้องนอนโรงพยาบาล เดี๋ยวป่วย เดี๋ยวหาย เหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก
นอกจากนั้น สภาพจิตใจก็ดูมีปัญหา เพราะต้องแบกรับคำว่า “แชมป์โลก” จนเวลาเล่น ไม่เป็นตัวเอง
อันดับของเขา หลังจากได้แชมป์โลก จึงค่อยๆ ร่วงลงไป หลุดท็อป 8
เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ 2024 ทีมงานบ้านทองหยอด ปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้แล้ว เพราะอีกไม่นานโอลิมปิกก็จะมาถึง ขั้นแรก พวกเขาจับวิวเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก 3 เดือนเต็ม จิตใจเดี๋ยวว่ากัน เอาร่างกายก่อน
เมื่อเข้าคอร์สอย่างจริงจัง น้ำหนักเริ่มลด และไม่เจออาการบาดเจ็บเล่นงานอีก วิวก็ฟอร์มกลับมา ได้เข้าชิงครั้งแรกในรอบ 7 เดือน ในรายการเฟรนช์ โอเพ่น แม้จะแพ้ ฉือ หยู่ฉี ในรอบชิงก็ตาม แต่ก็ถือว่าทิศทางดีขึ้น
วิวสภาพร่างกายโอเคกว่าเดิม และสุดท้ายได้เป็นมือวางอันดับ 8 ของโอลิมปิก ในประเภทชายเดี่ยว คือก็ยังดีกว่าหลุดท็อป 8 แล้วจะไปเจอเส้นทางที่โหดหินกว่านี้
โค้งสุดท้ายก่อนโอลิมปิกจะเริ่ม สิ่งที่ฝั่งบ้านทองหยอดกังวลที่สุด คือเรื่องจิตใจของวิวกับโอลิมปิกครั้งแรก ทุกคนกลัวว่าวิวจะคอนโทรลตัวเองไม่ได้ จนสติหลุด
ประสบการณ์ของโค้ชเป้ ที่ผ่านโอลิมปิกมาหลายครั้งรู้ดีว่า ในรายการใหญ่ที่สุดอย่างนี้ ถ้าคุณไม่นิ่งเมื่อไหร่ก็จบเมื่อนั้น
สิ่งที่โรงเรียนบ้านทองหยอดทำ คือการติดต่อไปที่ “อาจารย์ปลา” ผศ.ดร.วิมลมาศ ประชากุล นักจิตวิทยาการกีฬา ที่เทรนนิ่ง เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ จนได้เหรียญทองโอลิมปิกที่โตเกียวมาแล้ว ให้เข้ามาช่วยทีมแบดมินตันเป็นกรณีพิเศษ
เราจะสังเกตว่า การเตรียมตัวของกุลวุฒินั้น เข้มมาก คือถ้ารายการทั่วไป แค่เตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนแข่งก็พอ
แต่โอลิมปิกมันต้องใส่ใจมากกว่านั้น จิตใจก็ต้องสน การเทรนนิ่งก็ต้องละเอียด เพราะเดิมพันมันเยอะ คุณแพ้ทีเดียว ตกรอบ ต้องแก้ตัวใหม่อีก 4 ปีข้างหน้า
หลังจากเตรียมตัวทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็ได้เวลาแข่งขันโอลิมปิก กุลวุฒิอยู่ในกลุ่มซี เจอคู่ปรับที่ไม่ยาก คือ จูเลียน พอล (เมาริเชียส) และ คัลเล่ โคลโยเน่น (ฟินแลนด์)
เคล็ดลับสำคัญของเขาหนึ่งอย่างคือ “มองไปทีละรอบ” อย่าเพิ่งฝันไกลเกิน อย่าไปจินตนาการว่ารอบต่อไป จะเจอใครยังไง ชนะไปทีละเกมก่อน โดยวิวกล่าวว่า “ผมมองถึงรอบ 16 คน เอาให้ผ่านรอบแบ่งกลุ่มให้ได้ก่อน ไม่อยากเพิ่มความกดดันให้ตัวเอง”

การโฟกัสทีละนัด ได้ผลเป็นอย่างดี วิวเข้ารอบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม แบบไม่เสียเกม
จากนั้นเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ ก็เอาชนะเคนตะ นิชิโมโตะ มือวาง 12 ในรอบ 16 คนสุดท้าย ได้อย่างตื่นเต้น 2-1 เกม คือคัมแบ็กกลับมาได้ ทั้งๆ ที่แพ้เกมแรกก่อนแท้ๆ
จากนั้น กุลวุฒิ โคจรมาเจอ ฉือ หยู่ฉี มือ 1 ของโลก ในรอบ 8 คนสุดท้าย เป็นคนที่มีสถิติเหนือกว่าวิวเสียด้วย
ถ้าหากสังเกตในช่วงเสี่ยงทายเหรียญ กุลวุฒิจะเลือกฝั่งอย่างตั้งใจมาก เขาเลือกเล่น “ฝั่งเหนือลม” ในเกมแรกเสมอ ซึ่งเรื่องนี้ วิวเคยอธิบายเอาไว้ก่อนโอลิมปิกว่า
“สนามมันมีทั้งตามลมและต้านลม คุณต้องเข้าใจก่อนว่ามันคืออะไร ต้านลมคือคุณตีเท่าไหร่ ยังไงก็ไม่ออก ส่วนอีกฝั่งตีนิดเดียวก็ออก” ถ้าหากไม่ศึกษาสนามให้ถ่องแท้ มันก็คือแพ้ตั้งแต่ก่อนเกมจะเริ่มแล้ว
ในการเจอฉือ หยู่ฉี คราวนี้ วิวเตรียมตัวมาดีมาก วางแผนทุกอย่างแบบสมบูรณ์ หลายเพลย์โจมตีเร็วจนฉือ หยู่ฉี ตั้งตัวไม่ติด
โค้ชเป้เคยเล่าว่า จะมีการดูวีดีโออย่างละเอียด เพื่อศึกษาว่านักกีฬาคนนั้น เล่นแบบไหนระหว่างทัวร์นาเมนต์ การวางกลยุทธ์ให้อีกฝ่ายตั้งรับไม่ทัน จะทำให้ได้เปรียบมากในสนาม
กุลวุฒิ ถล่มฉือ หยู่ฉี เละ 2 เกมรวด ไม่ไว้หน้ามือหนึ่งของโลก นี่เป็นฟอร์มที่ดีที่สุด จนแฟนแบดมินตันต่างประเทศ สดุดีว่า “นี่คือการเล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบ 2 ปี ไร้เทียมทาน เหมือนโมโมตะในปี 2019 และ วิคเตอร์ ในปี 2021”
เมื่อเอาชนะ ฉือ หยู่ฉี ได้แล้ว รอบรองชนะเลิศ กุลวุฒิเจอกับ ลี ซี เจีย จากมาเลเซีย นัดนี้กุลวุฒิโชว์ทักษะเกมรับระดับโลก คู่แข่งตีมาเท่าไหร่ก็ไม่ยอมจำนน สวนคืนกลับไปได้ทุกครั้ง จนแฟนๆ มาเลย์ท้อใจ สุดท้ายเอาชนะได้ 2 เกมรวด เข้าชิงเหรียญทองได้สำเร็จ โดยจะไปเจอกับวิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น แชมป์เก่าชาวเดนมาร์ก

กุลวุฒิอยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุด เป็นร่างทองของจริง แต่แฟนๆ ต่างประเทศ ยังมองว่าเขาเป็นรองเล็กน้อย ความเห็นหนึ่งในโลกออนไลน์บอกว่า “วิคเตอร์คือตัวเต็งตอนนี้ กุลวุฒิยังพัฒนาได้อีกไกล แต่พูดกันตรงๆ ฟอร์มที่เอาชนะ ฉือ หยู่ฉี ได้ในรอบ 8 คน มันไม่ใช่ฟอร์มปกติของเขา”
ส่วนอีกคนบอกว่า “ถ้าวิคเตอร์ไม่ได้เหรียญทอง นั่นเพราะเขาแพ้ภัยตัวเอง”
คือก็เข้าใจได้ ที่ผู้คนจะคิดอย่างนั้น เพราะวิคเตอร์คือมือวางอันดับ 2 ของรายการ สถิติเจอกุลวุฒิก็ดีกว่ามาก (ชนะ 6 แพ้ 1) และยังเป็นแชมป์โอลิมปิกคนล่าสุด ทุกอย่างดูได้เปรียบหมด
แต่กุลวุฒินาทีนี้ ฟอร์มไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งมั่นใจ และมีประสิทธิภาพ เขาสมบูรณ์ทุกอย่าง ทั้งจิตใจ และร่างกาย ที่จะเป็นผู้ชนะในเกมนัดชิงชนะเลิศ
ทีมงานพร้อม แท็กติกพร้อม ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว มือ 1 ของโลกยังโค่นมาแล้ว ทำไมมือ 2 ของโลกเราจะชนะไม่ได้
ไม่รู้ว่า บทสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร เหรียญแรกของแบดมินตันไทย จะเป็นเหรียญทองหรือเหรียญเงิน เราจะได้รู้กัน อีกไม่นานนี้แล้ว
คนไทยทั้งแผ่นดิน จะนั่งเฝ้ารอที่หน้าจอด้วยความเชื่อมั่น และหวังว่า ความฝันอย่างที่ 2 ของกุลวุฒิ “การคว้าแชมป์โอลิมปิก” มันจะเกิดขึ้นได้จริงในคราวนี้เลย
สุดท้าย พอมาลองคิดดู ฝั่งโรงเรียนบ้านทองหยอดที่ดูแลกุลวุฒิมายาวนาน คงไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน ว่าเด็กหนุ่มที่เคยมาฝากตัวเมื่อ 11 ปีที่แล้ว เขาอาจจะกลายเป็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก คนที่ 11 ของประเทศไทยในวันนี้
