‘สุทิน’ พร้อมแจง ปมซื้อเรือฟริเกต แทนเรือดำน้ำ เป็นทางออกที่ดีที่สุด

พร้อมแจง ปมเปลี่ยนสัญญาซื้อเรือรบฟริเกต แทนเรือดำน้ำ ‘สุทิน’ ยืนยัน เป็นทางออกที่ดีที่สุด ไม่เสียหาย-ไม่เสียเปรียบใคร

เป็นที่จับตาว่าทำได้หรือไม่ เมื่อกองทัพเรือ กระทรวงกลาโหม จะเปลี่ยนแปลงสัญญาซื้อเรือดำน้ำแบบ S26T ที่จ่ายเงินไปแล้วบางส่วน เป็นเรือฟริเกตมูลค่า 17,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะต้องเพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท เพราะตามหลักสัญญาต้องพร้อมใจกันทั้ง 2 ฝ่าย

ดังนั้น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร จึงเชิญ นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าชี้แจงในวันที่ 26 ต.ค.66 นี้

โดยเบื้องต้น หลังพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันปิยมหาราช วันนี้ (23 ต.ค.66) นายสุทิน กล่าวว่า พร้อมชี้แจงทุกที่ เพราะจะได้ทำความเข้าใจร่วมกัน

โดยการตัดสินใจเรื่องการเลือกเรือเครื่องยนต์จีนหรือเรือฟริเกต ต้องชั่งน้ำหนักและคิดอย่างรอบคอบทุกมิติ เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด และไม่เสียเปรียบต่อมูลค่าของแต่ละอย่าง โดยในการตัดสินใจนั้น พิจารณาสิ่งต่างๆ เช่น มูลค่าเรือและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา เพื่อให้ได้เรือที่มีคุณภาพ และมูลค่าเทียบเท่ากับราคามาตรฐานที่รู้จักกันทั่วโลก

“ที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น เราอธิบายได้ โดยเราเลือกใช้กลไกของกระทรวงกลาโหมในการสนทนากับจีนก่อน ทุกอย่างดำเนินตามข้อตกลงและไม่ผิดสัญญา ซึ่งมีมิติที่สร้างความเป็นมิตรระหว่างประเทศและมิติที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ ที่เราต้องพิจารณาอย่างละเอียด” นายสุทิน กล่าว

ขณะที่ ก่อนหน้านี้ น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การชะลอซื้อเรือดำน้ำ เนื่องจากปัญหาเครื่องยนต์และสถานการณ์โควิด-19 อาจส่งผลต่อเบี้ยปรับหรืองบประมาณ ถ้าสัญญาถูกยกเลิกเมื่อรัฐบาลเข้ามาบริหาร

เพื่อเลี่ยงการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ นายสุทิน จึงพิจารณาเลือกที่จะเปลี่ยนสินค้าที่สัญญาได้จากการจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นเรือรบฟริเกต หรือเรือตรวจการระยะไกล (OPV) ที่สามารถใช้งานแทนได้ และเห็นว่า ขั้นตอนนี้เป็นข้อเสนอที่ต้องพิจารณารอบคอบ เพื่อควบคุมงบประมาณในมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เนื่องจากมีงบประมาณมาก

“ฝ่ายค้านมีบทบาทในการตรวจสอบและตั้งคำถาม ส่วนฝ่ายรัฐบาลต้องมีเหตุผลในการชี้แจง ดังนั้น ไม่ควรด่วนตัดสินใจ เพราะเป็นทางเลือกที่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่า จะดำเนินการหรือไม่ รัฐบาลไทยควรเจรจากับรัฐบาลจีนเพื่อหารือเรื่องการซื้อ แต่ยังไม่ควรดำเนินการในขณะนี้เนื่องจากเหตุผลด้านงบประมาณ แต่คงจะมีการเจรจาเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว