สมชาย แสวงการ ส.ว. สายเหยี่ยว งัดร่างกฎหมาย ก้าวไกล แก้ ม.112 กลางสภา

สมชาย แสวงการ ส.ว. สายเหยี่ยว งัดร่างกฎหมาย ก้าวไกล แก้ ม.112 กลางสภา ลั่น รัฐธรรมนูญใดไม่มีกรอบรัฐธรรมนูญนั้นอันตราย

สมชาย แสวงการ ส.ว. สายเหยี่ยว งัดร่างกฎหมาย ก้าวไกล แก้ ม.112 กลางสภา!  

วันนี้ (13 ก.ค. 66) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา งัดร่างกฎหมาย ก้าวไกลแก้ ม.112 อภิปรายกลางสภา ในวัน โหวตเลือกนายก คนที่ 30 ของประเทศไทย  

Live อัปเดต : 13 กรกฎาคม 66 ชี้ชะตา โหวตนายกฯ คนที่ 30 ของไทย

นายสมชาย กล่าวว่า ตนในฐานะที่อยู่ในสภา ศึกษาวิชาการประวัติศาสตร์ขอเรียนเลยว่าอย่าย้อนโหยหาอดีตอีกเลย เพราะ พ.ศ.2475 ขณะนั้นเป็นการยึดอำนาจคณะราษฎร์ที่ได้รับทุนเล่าเรียนหลวงไปเรียนต่างประเทศ คนไทยในอดีตจวบจนคนไทยในปัจจุบันเคารพ เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้นำของชาติ คนไทยไม่ยอมเลือกการปกครองระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบเหมือนที่คณะบุคคลบางกลุ่มกำลังโหยหา กำลังเรียกร้อง เคลื่อนไหวและกำลังสร้างความเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตนจะพูดจากนี้คือ สิ่งที่กระทบต่อการดำเนินงานของการให้ความเห็นผู้จะเป็นนายกรัฐมนตรีและนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงมีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่ท่านใช้ในการหาเสียง ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคการเมืองของคณะกลุ่มบุคคลผู้ช่วยหาเสียงและมวลชนที่สอดประสานกันตลอดมา  

ประเด็นสำคัญก็คือ เรื่องของความเกี่ยวข้องกับความเป็นชาติที่ต้องมีสถาบันหลัก 3 สถาบันประกอบด้วย  ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จึงทำให้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเป็นคำถามที่ใหญ่มากซึ่งตนจะต้องหาคำตอบว่า สามารถโหวตให้ นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีและนำนโยบายของไปเคลื่อนไหวจนทำให้ประเทศเกิดความไม่สงบสุขได้หรือไม่  

นอกจากนี้ นายสมชาย โชว์เอกสารหลักฐานร่างกฎหมาย เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 เสนอโดย ส.ส. พรรคก้าวไกล โดยความเห็นของคณะที่ปรึกษากฎหมายสภาเห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 6 จึงไม่นำเข้าสู่การพิจารณาและขอให้เอากลับไปแก้ไข ปรากฏว่าส่งกลับมาวันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 ร่างกฎหมายยังคงเดิม กระทั่งขณะนี้พรรคก้าวไกลก็ยังยืนยันว่าจะเดินต่อ  

สำหรับข่าวสารรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้สำคัญมาก  

ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้อง ปม พิธา รณรงค์หาเสียงแก้ ม.112  

เป็นคดีที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่า การกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 ที่เสนอร่างแก้ไข พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งและยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่นั้น สำหรับตนคิดว่าการกระทำของนี้ถ้าพิจารณาตามคำร้อง และศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตามมาตรา 49 นี้นำไปสู่   

1. ให้ยกเลิกการกระทำดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการเสนอร่างกฎหมาย 112   

2. การยุบพรรคและพรรคที่เข้าร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล  

ขอกราบเรียนถามท่านประธานในฐานะที่ต้องดูแลสภา พวกเราเสนอให้ประเทศไทยเสนอร่างกฎหมายแก้ไขประเทศไทยเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ เป็นสาธารณรัฐได้ไหม คำตอบคือ ไม่ได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้แล้วในคำวินิจฉัยเดิมที่ 19/2564 หน้า 45 ปรากฏความดังนี้ การใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเรียกร้องเพื่อให้มีการยกเลิกที่ห้ามผู้ใดล่วงละเมิดหมิ่นประมาท หมิ่นพระบรมเดชานุภาพสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายดังกล่าว จะส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในสถานะที่เคารพสักการะอันนำไปสู่การสร้างความปั่นป่วนและความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนเป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพที่เกินความพอเหมาะพอควร โดยมีผลทำให้กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและจะนำไปสู่การบ่อนทำลายระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในที่สุด ในบรรยายฟ้องทั้งหมดนี้มีพฤติกรรมทุกครั้งของนายพิธาและพรรคก้าวไกลเป็นองค์ประกอบความผิดในการแสดงความคิดเห็นและดำเนินการต่อเนื่องในการที่จะแก้ไขและยกเลิกมาตรา 112  

นายสมชาย ระบุว่าที่ตนกล่าวมานั้น เพื่อเตือนสติ ส.ส ที่พึ่งเข้ามาใหม่ในสภา ว่าท่านได้ร่วมขบวนการเหล่านี้โดยท่านไม่รู้หรือท่านรู้แล้วท่านยังกระทำอยู่มันจะเกิดปัญหาขึ้นต่ออนาคตทางการเมือง   

โดยสรุปคือหากยังเดินหน้าเรื่อง รวมรัฐธรรมนูญโดยการใช้ประชามติร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ซึ่งทำให้ตนกังวลว่า ในรัฐธรรมนูญนี้มีหลายเรื่องที่แก้ไขความขัดแย้งมาตั้งแต่พฤษภาคม 2535  กระทั่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน หลายเรื่องมีกรอบความคิดในการบัญญัติรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญใดไม่มีกรอบรัฐธรรมนูญนั้นอันตราย