‘พิธา’ มั่นใจ 13 ก.ค.66 พรรคร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี เสียงไม่แตก

‘พิธา’ ออกโหนกระแส มั่นใจ 13 ก.ค.66 พรรคร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี เสียงไม่แตก ลั่นถึงเวลา นักการเมือง คืนศรัทธา-ความปกติ ให้การเมืองไทย

รายการโหนกระแส วันนี้ (10 ก.ค.66) มีการพูดคุยกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ร่วมพูดคุยในหัวข้อ “พิธา” ได้เป็นนายกฯ หรือไม่ ?

กรณีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะพิจารณาและส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ว่าการที่ นายพิธา มีชื่อถือครองหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด มหาชน จำนวน 42,000 หุ้น เข้าลักษณะต้องห้ามมีให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) และเป็นเหตุให้สมาชิกภาพส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) หรือไม่ ในวันที่ 12 ก.ค.66 มองว่า จะส่งผลกระทบ ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 ก.ค.66 หรือไม่

นายพิธา กล่าวว่า คิดว่าจะไม่มีผลอะไร เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนรวมถึงสื่อมวลชนทราบล่วงหน้ามาเป็นอาทิตย์แล้วว่า เป็นเรื่องที่เราคาดเดาได้ ว่าอาจจะเกิดขึ้นในกระบวนการแบบนี้ อย่างกรณีใน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ที่ได้มีการนำเสนอข่าวไป ก็มีการกระทำในลักษณะนี้

ดังนั้น จึงได้ยื่นหนังสือท้วงติ่ง และขอความเป็นธรรม ขอความเป็นกลางจาก กกต. เพราะว่า การจะพิจารณาเรื่องอะไร แบบนี้มีขั้นมีตอนของมัน เมื่อมีการตั้งข้อกล่าวหา ซึ่งส่วนตัวก็ยังไม่เห็นข้อกล่าวหาดังกล่าวเลย และปกติแล้วจะต้องแจ้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าชี้แจง ไม่ว่าจะเป็นไอทีวี หรือเรื่องอื่นๆ ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ต้องฟังความทั้งสองฝ่าย หลังจากนั้น จึงมีมติว่าจะว่าจะส่งศาลหรือไม่

“ตอนนี้ข้ามขั้นตอนไปเยอะพอสมควร และเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่า พอมีการกำหนดวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 ก.ค.66 มีการประชุมบ่ายนี้ (10 ก.ค.66) เพื่อที่จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 12 ก.ค.66 สำหรับผมมองว่า เรื่องระยะเวลาไม่ค่อยสมเหตุสมผลจึงต้องขอความเป็นธรรม” นายพิธา กล่าว

ส่วนเรื่องการขายหนังสือนั้น ส่วนตัวก็ยังไม่เห็นเช่นกันว่ามีรายละเอียดอย่างไร แต่เข้าใจว่า เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน และเมื่อเรื่องนี้เข้าไปสู่กระบวนการก็พร้อมที่จะชี้แจง แต่ยังเชื่อว่าเป็นประเด็นที่เข้าใจผิดกัน แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะตอบได้ว่า เข้าใจผิดอย่างไร เพราะส่วนตัวก็ยังไม่เห็นแม้แต่คำร้อง

อีกทั้ง เรื่องที่ดิน คอนโดมิเนียม และนาฬิกาหรู ที่หลายคนจับตามอง ว่าเป็นข้อมูลเท็จ นายพิธากล่าวว่า ก็เป็นเรื่องที่ไม่ผิดคาด และก็พร้อมที่จะชี้แจงทุกอย่าง เพราะว่ารัดกุมมาตั้งแต่ตอนที่เป็น ส.ส.สมัยแรก รัดกุมเมื่อออกจาก ส.ส.สมัยแรก และต้องมีการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ตอนเข้ารับตำแหน่งเป็นครั้งที่ 3 อีก ดังนั้นทั้งหมด ถ้าเห็นข้อมูลทั้งหมด และถ้ามองด้วยใจที่เป็นกลาง จะสามารถประติดประต่อเรื่องได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องขอดูก่อนว่า เรื่องที่ต้องการทราบในประเด็นไหน ซึ่งเราก็พร้อมที่จะชี้แจง ตามครรลองคลองธรรม ที่เป็นอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าเป็นการถูกกลั่นแกล้ง และส่วนตัวก็ไม่ใช่คนแรกไหม ที่ถูกดำเนินการแบบนี้ ถามว่าเป็นปกติของการเล่นการเมืองทั่วไปหรือไม่ ก็เป็นเรื่องปกติ และในขณะเดียวกัน ถ้าใครที่จะเป็นนักการเมือง ก็ต้องพร้อมให้เกิดการตรวจสอบ และเราก็ต้องพร้อมที่จะชี้แจง อีกทั้ง ก็เป็นหน้าที่ของเราที่เป็นวิญญูชน ที่จะต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่สุด เพื่อที่จะให้เกิดความโปร่งใส และความรัดกุมในการทำงาน

ประเด็นนาฬิกาหรู ที่หลายคนตั้งคำถามว่า ราคาจริงสูงกว่าที่แจ้งในบัญชีทรัพย์สิน นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ปั่นไป บางทีก็ไปเอารูปตั้งแต่ก่อนเล่นการเมือง ซึ่งคนที่เล่นนาฬิกาก็จะรู้อยู่แล้ว บางทีก็ซื้อมาขายไป บางทีก็ยกให้น้อง ใช้บ้างสลับกันไปมา ยืนยันว่าไม่มียืมเพื่อน ทุกทรัพย์สินมีที่มาที่ไป และมีหลักการในการประเมินราคาทั้งสิ้น แต่อย่างที่บอก ทั้งหมดเป็นเรื่องที่คนอยากเล่นการเมืองต้องเข้าใจในประเด็นพวกนี้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของทั่วโลก และเป็นเรื่องปกติของการเมือง เราจึงต้องเป็นคนที่ละเอียด รัดกุมวางแผน และโปร่งใส

“ไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะมีวิธีวางใจ โดยเราจะวาง Position จิตใจของเรา เมื่อเรารู้มาก่อนแล้ว คาดหวังมาก่อน ว่านี่เป็นเรื่องปกติที่นักการเมืองในประเทศไทย และทั่วโลกต้องเจอ มันก็เหมือนเอาชีวิตของเราเข้าเครื่องเอกซเรย์ ในเมื่อเราเตรียมตัวแล้วว่า เรากำลังจะเข้าเครื่องเอกซเรย์ เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร

แต่ถ้าเรารู้สึกว่า ทำไมเราถึงต้องถูกกระทำอย่างนั้น อย่างนี้ตลอดเวลา มันไม่ใช่ ผมคิดว่าชีวิตคนเรามันขึ้นอยู่กับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่วิธีที่เราตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สักวันหนึ่งผมคิดว่า ถ้าเราใช้เวลาในการทำ ครองตนเองอย่างสม่ำเสมอ ประชาชนก็จะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร

ซึ่งพร้อมที่จะต่อสู้กับทุกรูปแบบแน่นอน เราจะต้องทำในสิ่งที่เราควบคุมได้ให้ดีที่สุด และทำในสิ่งที่เราได้สัญญาไว้กับพี่น้องประชาชน ก็ต้องพยายามทำให้เต็มที่ เพราะเราเข้าใจว่า คนจำนวนมากฝากความหวังไว้กับเรา และเขาก็ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงจริงๆ” นายพิธา กล่าว

สำหรับกรณีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จะโหวตเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวว่า มีทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ บางทีพี่น้องประชาชนเวลาที่ฟังสัมภาษณ์ของ ส.ว.ตอนนี้ ก็อาจจะมีหลายรูปแบบ บางคนก็อาจจะบอกว่า ไม่โหวตให้ บางคนก็บอกว่าจะโหวตให้ ตามหลักการ ตามมติของรัฐบาลเสียงข้างมาก บางคนก็บอกว่า ขอฟังดูก่อน

แต่ส่วนตัว พอได้มีโอกาสพูดคุยกับ ส.ว.หลายคน สุดท้ายแล้ว เราก็ไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไหร่ เราอาจจะแตกต่างกันตรงที่มา เราอาจจะมาจากการเลือกตั้งเป็นสภาล่าง ส.ว.อาจจะเป็นสภาบน แต่เมื่อเรามาได้พูดคุย หลายคนก็แสดงความห่วงใยบ้านเมือง และตั้งใจที่จะพัฒนาบ้านเมืองไปในทิศทางเดียวกัน

ส่วนที่มีกระแสข่าวขณะนี้ว่า พรรคก้าวไกล ได้เสียง ส.ว.มา 20 เสียง พรรคเพื่อไทยได้มาอีก 44 เสียง และพรรคอื่นๆ ที่อยู่ในพรรคร่วมอีก 8 พรรค ได้มาอีก 10 รวมตอนนี้เป็น 70 เสียงแล้ว นายพิธา กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่า เมื่อลงตัวเลขกันตอนนี้จะไปกระทบผลที่จะโหวตในวันที่ 13 ก.ค.66 ซึ่งคิดว่า ถ้าเราหาฉันทามติร่วมกันได้ โดยทำลายกำแพงที่อาจจะไม่เข้าใจกันในหลายๆ เรื่อง

ส่วนกรณี นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ส.ว. ระบุว่า มี ส.ว.โหวตให้ไม่เกิน 5 คน นายพิธา กล่าวว่า ก็รู้สึกว่า เป็นความเห็นของ ส.ว.กิตติศักดิ์ แค่นั้น เราไม่สามารถมองวุฒิสภาเป็นกลุ่มเป็นก้อนแบบนั้นได้ เพราะว่าไม่เป็นความเป็นความไม่ยุติธรรมกับท่าน อีกทั้ง แต่ละท่านก็เป็นปัจเจกชน มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง มีหลักการ มีดุลพินิจ ในการวิเคราะห์

หลายท่านก็พูดว่า เป็นวุฒิสภาก็เป็นนักการเมืองของประชาชนเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นมติมหาชนของรัฐบาลเสียงข้างมาก 8 พรรครวมกัน 25 ล้านเสียง 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ของประเทศ อยากให้จัดตั้งรัฐบาล ท่านก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของท่านที่จะมาขวาง ขณะเดียวกัน หลายท่านก็บอกว่า ไม่ว่าจะคดีอะไร ไม่ว่าจะนโยบายอะไร มีองค์กรที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาอยู่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของวุฒิสภา และหลายท่านก็บอกว่า เหมือนปี 2562 เมื่อสภาล่างรวมเสียงข้างมากได้เกิน 251 ก็ตามนั้น ซึ่งตอนนี้ได้ 312 ท่านก็บอกว่าโหวตให้เพื่อหลักการ

ทั้งนี้ กรณีพรรคร่วมรัฐบาล จะโหวตให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี 3 ครั้ง ถ้าใน 3 ครั้งนี้ ยังไม่ได้ พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลเอง นายพิธา กล่าวว่า มองว่าเรื่องนี้เป็นการคาดการณ์ของแต่ละบุคคล คงไม่ใช่เป็นเรื่องของพรรค หรือพรรคร่วม โดยในเรื่องของพรรคร่วม เดี๋ยวคงจะมีการประชุมกันในอีก 1-2 วันนี้ เพื่อที่จะเตรียมซักซ้อมในกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องให้เชิงอรรถไว้ก่อนว่า ส่วนตัวไม่ได้ดูในรายละเอียด ของ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่ 2 ที่ให้ให้ข้อมูลก่อนหน้านี้ ซึ่งจริงอยู่ว่า ตามรัฐธรรมนูญไม่ได้มีการกำหนดไว้จริงๆ ว่าจะโหวตกันกี่ครั้ง อย่างนายจตุรนต์ ฉายแสง ก็บอกว่าโหวตได้เรื่อยๆ นายศิธา ทิวารี ก็บอกว่า สามารถโหวตได้เรื่อยๆ

ถ้ามองในมุมหนึ่งก็คิดว่า ยังไม่ได้มีการคาดการณ์ไว้ก่อนของพรรคร่วมรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ก็บอกว่าไม่มีแผนสำรอง นายเศรษฐา ทวีสิน ก็เช่นกัน และครั้งที่ 1 ในการโหวตก็น่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เพื่อที่จะได้รีบไปพิจารณา เรื่องเกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับภัยแล้ง เงินเฟ้อ และอื่นๆ ยังมีอีกหลายเรื่องที่รอการแก้ไข

“ในนามของพรรคร่วม 8 พรรคก็ค่อนข้างที่จะชัดเจน และในฐานะที่เป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ก็ยังไม่มีการพูดคุย และยังไม่มีการคาดการณ์การตรงนี้ และยังไม่มีแผนสอง แผนสำรอง เราอยู่กับปัจจุบัน และกินข้าวทีละคำ กินชาทีละถ้วย ทีละเรื่อง เอาวันที่ 13 ก.ค.66 นี้ผ่านให้ได้ก่อน ซึ่งแต่ละท่านก็อาจจะมีความเห็นที่แตกต่างกันไป” นายพิธา กล่าว

นอกจากนี้ นายพิธา ยังกล่าวว่า เหลืออีกแค่ 3 วัน ช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังจ้องมาที่ประเทศไทย ซึ่งเราอาจจะนิยามคำว่าประชาธิปไตย ไม่เหมือนกัน โดยประเทศไทยอาจจะนิยามคำว่าประชาธิปไตยว่า รัฐบาลเสียงข้างมาก และในวันที่ 13 ก.ค.นี้ ก็อยากขอให้ทุกคนใช้โอกาสนี้ในการคืนความปกติให้กับการเมืองไทยและให้โอกาสประเทศไทย ให้โอกาสประชาธิปไตย

ไม่ได้ให้โอกาสแค่นายพิธา เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็เชื่อว่า จะออกมามาในรูปแบบที่ดี และเราจะได้มีสมาธิในการแก้ไขปัญหาในการทำงานสักที ภัยแล้งปีนี้ก็น่ากลัว เรื่องเกี่ยวกับราคาปุ๋ย ราคาสินค้าการเกษตร อาหารสัตว์ ตอนนี้ก็มีความตึงเครียด ต้องการจะมีการเลือกตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้เข้าไปแก้ไขปัญหาให้ประชาชน

ถ้าโหวตนายกรัฐมนตรี ไม่ผ่าน นายกรัฐมนตรีไม่ใช่ พิธา พรรคเพื่อไทย จะขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาลจะสนับสนุนหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีสมมติฐานไหน ที่ทำให้สมมุติแบบนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีความ หรืออะไรต่างๆ ยังไม่มีสมมติฐานใด ที่จะสมมุติแบบนั้นได้

ส่วนตัวมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน สมมุติพร่ำเพรื่อไม่ได้ เพราะบางทีตลาดหุ้นจับตาดูอยู่ ต่างชาติที่กำลังจะเข้ามาลงทุน กำลังจับตาดูอยู่ เพราะฉะนั้น คิดว่าตอนนี้ยังไม่มีแผน 2 หรือสำรองอะไร และในมุมมองของส่วนตัวก็ยังไม่มีสมมติฐานไหน ที่จะทำให้สมมุติแบบนั้นได้

“ความท้าทายที่พวกเรากำลังจะเจอ ทั้งสังคมผู้สูงวัย เภาวะโลกร้อน ต้องใช้สมาธิในการแก้ไขปัญหา ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องมา หาสมมติฐาน ในการเพิ่มความขัดแย้ง หรือกลั่นแกล้งกันทางการเมือง เราผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว 2 เดือน ตอนนี้เป็นเรื่องที่เราต้องพับแขนเสื้อ 2 ข้าง และลงมือทำงานสักที” นายพิธา กล่าว

โซเชียลมีเดียตั้งคำถามว่า ในเมื่อเราเลือกพรรค เลือกนายกรัฐมนตรีที่เราอยากได้มาแล้ว ทำไมยังต้องเจอเรื่องอะไรแบบนี้ นายพิธา กล่าวว่า คิดว่า เป็นคำพูดที่ไม่ใช่แค่ประชาชนคนไทยที่พูดได้ แต่พลเมืองทั่วโลกที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

สามารถตั้งคำถามแบบนี้ได้ เพราะการเลือกตั้งมา ในการที่จะให้ประชาชนตัดสินใจ ได้รับฟังดีเบตแล้ว ดีเบตเล่า ได้ฟังนโยบายแล้ว นโยบายเล่า ได้เห็นคนตัวตนในการทำงานหาเสียง ทั่วประเทศมา ส่วนตัวจึงคิดว่า ประชาชนเป็นพลเมือง ก็สามารถที่จะตัดสินใจด้วยตัวของประชาชนเอง

เมื่อระบบมันนิ่งเมื่อไหร่ ผมต้องโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมต้องโดนสื่อมวลชนตรวจสอบ ถ้าผมทำไม่ได้จริง อีก 4 ปี คุณโหวตผมออกได้ ระบบมันเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าระบบมันดี มันไม่ใช่เป็นเรื่องของผมแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น ถ้าผมทำไม่ได้จริงๆ ผมแพ้การเลือกตั้ง ผมก็ต้องส่งต่อ ทั้งนโยบาย อำนาจ และงานที่ค้างอยู่ ให้กับผู้นำคนต่อไปที่ประชาชนเลือกมา ฉะนั้นอันนี้มันเป็นเรื่องพื้นฐานของประชาชน เรื่องของประชาธิปไตยในสากลโลก มันเป็นแบบนี้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องปกติ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเมื่อระบบที่มันมาเป็นความไม่ปกติแบบนี้ ความไม่ปกติที่มาจากรัฐธรรมนูญปี 60 และอำนาจที่มาจากประชาชนก็จะโดนล้มล้างบ่อยๆ ทั้งจากรัฐประหาร นิติสงคราม ทั้งการยุบพรรค ซึ่งมันไม่ปกติ เมื่อเทียบกับสากลโลกเขา หรือแม้กระทั่งสามัญสำนึกของประชาชนคนไทย

“ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่นักการเมือง จะเรียกศรัทธาของระบบการเมืองไทย และคืนความปกติ ให้กับการเมืองไทย ถึงแม้ว่า เราจะยังอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 60 เพราะฉะนั้น การเลือกคือความปกติและให้โอกาสประเทศไทย ไม่ได้ให้โอกาสผม เพียงอย่างเดียว” นายพิธา กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ร้อนฉ่า! ก้าวไกล ส่งหนังสือค้าน กกต. ยื่นศาล รธน.กรณีหุ้นสื่อ พิธาเปิด 3 วิบากกรรม “พิธา-ก้าวไกล” หลังศาล รธน. มีมติถาม อสส. กรณี ม.112เปิดบัญชี ‘พิธา’ พ้น ส.ส.รวย 85 ล้านบาท สะสมสูท-นาฬิกา-พระเครื่อง
คลิปอีจันแนะนำ
พรรคร่วม เห็นพ้อง โหวตพิธาเป็นนายกฯ