สุดทน! อ.ปิยบุตร เชือดก้าวไกล เสียรู้ขั้วรบ. วืดเก้าอี้ปธ.กมธ.ไป 1 คณะ

แซ่บซู๊ดปาก ‘อ.ปิยบุตร’ ร่ายยาว เชือด ‘พรรคก้าวไกล’ ไม่ละเอียดรอบคอบ เสียรู้ขั้วรัฐบาล ทำวืดเก้าอี้ปธ.กมธ.ไป 1 คณะ

กรณี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดระยอง เผยแพร่ประกาศสำนักงาน กกต.ระยอง เรื่อง บัญชีหลักฐานแสดงการ เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นเวลาติดต่อกันสามปีนับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง ตามความในมาตรา 45 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. พ.ศ.2561 ประกอบข้อ 91 ของระเบียบ กกต.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. พ.ศ.2566 ให้เปิดเผยข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลงวันที่ 26 ส.ค.66

โดยพบว่า มีผู้สมัคร สส.ที่แสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 3 ปีติดต่อกัน จำนวน 2 คน คือ นายบัญญัติ เจตนจันทร์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ และ ร.ต.เรืองชัย สมบัติภูธร ผู้สมัครจากพรรคแรงงานสร้างชาติ

สำหรับ นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัคร สส.ก้าวไกล พบว่า แสดงหนังสือยืนยันการไม่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ชี้แจงว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา นายพงศธร ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญการ สส.ของ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ที่กำหนดเงินเดือนไว้ชัดเจนจำนวน 15,000 บาทต่อเดือน และจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย แล้ว

ดังนั้น เมื่อคำนวณออกมาตลอดทั้งปี จะมีรายได้ไม่เกิน 180,000 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขไม่เกินไปกว่าที่กฎหมายกำหนด และด้วยความบริสุทธิ์ใจจึงได้ยื่นภาษี

“ส่วนการสมัคร สส.ก็ได้มีการทำแบบฟอร์ม สส.4/7 ที่ เกี่ยวกับการยื่นภาษี เพื่อยืนยันถึงความบริสุทธิ์ใจว่าตัวเองนั้นมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์” นายรังสิมันต์ กล่าว

ฟาก นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เมื่อวันที่ 30 ส.ค.66 โพสต์เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุว่า การลาออกของ ส.ส.ระยอง ทำให้พรรคก้าวไกลเสียสัดส่วนประธานกรรมาธิการ จาก 11 คณะ เหลือ 10 คณะ

ตามธรรมเนียมของสภาผู้แทนราษฎรไทย การจัดสรรปันส่วนตำแหน่งในสภา จะใช้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละพรรคมีมาใช้ในการคำนวณ เมื่อวานนี้มีข่าวออกมาว่า ทางเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้คำนวณสัดส่วนประธานกรรมาธิการสามัญ 35 คณะ ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า แต่ละพรรคจะมี สส.ของพรรคตนดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการสามัญจำนวนเท่าไร

โดยคำนวณตามสูตร (จำนวนคณะกรรมาธิการสามัญ x จำนวน สส.ของพรรค) หารด้วย จำนวน สส.ที่สภามีอยู่ ผลปรากฏว่า

พรรคก้าวไกล มี สส.150 คน (นครชัย ขุนณรงค์ ลาออกจาก สส.ระยอง เขต 3) คำนวณตามสูตร 35 x 150 หารด้วย 499 ได้ 10.5210 ปัดเศษได้ 10 คณะ

พรรคเพื่อไทย สส. 141 คน คำนวณได้ 9.8898 ปัดเศษได้ 10 คณะ

พรรคภูมิใจไทย 71 คน คำนวณได้ 4.9800 ปัดเศษได้ 5 คณะ

พรรคพลังประชารัฐ 40 คน คำนวณได้ 2.8056 ปัดเศษได้ 3 คณะ

พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 คน คำนวณได้ 2.5251 ปัดเศษได้ 3 คณะ

พรรคประชาธิปัตย์ 25 คน คำนวณได้ 1.7535 ปัดเศษได้ 2 คณะ

พรรคชาติไทยพัฒนา 10 คน คำนวณได้ 0.7014 ปัดเศษได้ 1 คณะ

พรรคประชาชาติ 9 คน คำนวณได้ 0.6313 ปัดเศษได้ 1 คณะ

ส่วนพรรคอื่นๆ ที่เหลือ ไม่ได้สัดส่วนประธานกรรมาธิการสามัญ จะเห็นได้ว่า พรรคที่ได้รับผลประโยชน์จากการปัดเศษขึ้น ในลำดับสุดท้ายที่แย่งชิงกัน คือ พรรคก้าวไกล และพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคก้าวไกล คำนวณได้ 10.5210 ในขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ คำนวณได้ 2.5251

เศษของพรรคก้าวไกล คือ 0.5210 เศษของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ 0.5251 เศษของพรรครวมไทยสร้างชาติเฉือนเอาชนะเศษของพรรคก้าวไกลไป 0.0041 ทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติได้ปัดขึ้นจาก 2 เป็น 3 ส่วนพรรคก้าวไกลถูกปัดลงมาเหลือ 10

การเฉือนกันในหลักเศษจุดทศนิยมนี้ เป็นผลมาจากการลาออกของ สส.ระยอง เขต 3 หากพรรคก้าวไกลมี สส.151 คน ตามเดิม จะคำนวณออกมาได้ 10.57 (เศษ 0.57) ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ จะคำนวณได้ 2.52 (เศษ 0.52) พรรคก้าวไกลก็จะได้ปัดเศษจาก 10 เป็น 11 และพรรครวมไทยสร้างชาติจะถูกปัดลงแทนเป็น 2

เอกสารภายบันทึกข้อความของกลุ่มงานกรรมาธิการที่นำเสนอต่อเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 25 กรกฎาคม ซึ่งคำนวณจาก สส.เต็ม 500 และ สส.พรรคก้าวไกลรวม 151 คน ก็ยืนยันผลตามนี้ว่า พรรคก้าวไกลได้ประธาน กมธ. 11 คณะ

แต่เมื่อวันนี้ สส.พรรคก้าวไกลเหลือ 150 คน และ สส.ที่มีอยู่ในสภา เหลือ 499 คน พรรคก้าวไกลจึงถูกลดจำนวนประธานเหลือ 10 คณะ นั่นหมายความว่า…

การลาออกของ สส.ของพรรคก้าวไกล ส่งผลสะเทือนทำให้พรรคก้าวไกลต้องสูญเสียตำแหน่งประธานกรรมาธิการสามัญไปหนึ่งคณะ !!!

หากรอให้การเลือกตั้งซ่อม สส.ระยอง เขต 3 แล้วเสร็จ และพรรคก้าวไกลชนะ ได้ สส.กลับมา 151 คนตามเดิม สัดส่วนประธาน กมธ. ของพรรคก้าวไกลก็คืนกลับมาเป็น 11 คณะ

อย่างไรก็ตาม เมื่อสักครู่นี้เอง พิเชษฐ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า

วันที่ 7 กันยายน มีการประชุมระหว่างพรรคการเมือง เพื่อจัดสรรตำแหน่งประธานกรรมาธิการตามสัดส่วนของแต่ละพรรค

วันที่ 12 กันยายน ให้แต่ละพรรคส่งรายชื่อ สส. เข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการใดบ้าง

วันที่ 13 กันยายน ที่ประชุมสภารับรองรายชื่อ สส.ในแต่ละคณะกรรมาธิการ

วันที่ 14 กันยายน ประชุมคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละคณะ

เมื่อนักข่าวถามว่า จะรอการเลือกตั้งซ่อมระยอง เขต 3 ก่อนค่อยแบ่งสรรประธาน กมธ หรือไม่ เพราะพรรคก้าวไกลได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้

รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 กล่าวว่า คงไม่ทัน เราคงไม่รอการเลือกตั้งซ่อม ให้ดำเนินการไปก่อน แต่หากเลือกตั้งซ่อมเสร็จแล้ว พรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาธิปัตย์ได้ สส.กลับมา หากต้องแบ่งกันใหม่ ก็เป็นเรื่องของแต่ละพรรคจะไปเจรจากันผ่านวิปว่าจะให้พรรคไหนถอยอย่างไร

บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือ…

พรรคก้าวไกลจะได้ประธาน กมธ. 11 หรือ 10 คณะ จึงขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 10 กันยาฯนี้

แต่เท่านั้นยังไม่พอ ต่อให้ชนะ ได้กลับมา 151 คนตามเดิม ก็ต้องไปเจรจาผ่านวิปอีก ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะยอมถอย คืนตำแหน่งประธานกรรมาธิการให้พรรคก้าวไกล

เรื่องจะไม่สับสนอลหม่านและปวดหัวเลย หากพรรคก้าวไกลละเอียดรอบคอบ คำนวณสัดส่วนตัวเลขอยู่เสมอ ณ วันที่ สส.ลาออกจากตำแหน่ง พรรคได้มีการคำนวณเรื่องเหล่านี้หรือไม่?

หากประสงค์จะลาออกจริง จะกำหนดให้ลาออกหลังจากแบ่งสรรประธานกรรมาธิการแล้วเสร็จได้หรือไม่? หรือว่าไม่ได้คิดคำนวณเรื่องอะไรเหล่านี้เลย? เมื่อพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน การขับเคลื่อนบทบาทการทำงานในสภาผ่านตำแหน่งประธานกรรมาธิการจึงสำคัญมาก

การถูกลดจาก 11 เหลือ 10 ถือว่ากระทบกระเทือนอย่างมาก เมื่อยิ่งรู้ว่า การลดจาก 11 เหลือ 10 เป็นผลจาก สส.ลาออก 1 คน ก็ยิ่งน่าเสียดายเข้าไปอีก เมื่อตำแหน่งประธาน กมธ.ของพรรคก้าวไกลที่หายไป กลายไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ก็ยิ่งน่าเจ็บใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ปิยบุตร เร้า ก้าวไกล แถลงพร้อมลุยฝ่ายค้าน เลิกหวังตั้งรัฐบาล “ปิยบุตร” ถามกล้าพูดความจริงไหม? ทำไมไม่ให้ “ก้าวไกล” ร่วมรัฐบาล