
2 พ่อลูก “ฮุน เซน-ฮุน มาเนต” โพสต์ถึงไทยก่อนการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา วันนี้ (14 มิ.ย.68)
โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา (13 มิ.ย.68) สมเด็จ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ใจความระบุว่า…
“วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2568 คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (JBC) จะประชุมกันอีกครั้ง หลังจากหยุดประชุมไป 12 ปี โดยกัมพูชาจะทำงานร่วมกับฝ่ายไทยต่อไปเพื่อดำเนินการวัดเขตแดนและกำหนดแนวเขตแดนที่เหลือระหว่างสองประเทศ (ยกเว้นพื้นที่ตาเมือนธม ตาเมือนโตช ตากระบี และมอมเตย) โดยใช้กลไก JBC
ข้าพเจ้าขอแจ้งให้เพื่อนร่วมชาติของข้าพเจ้าทราบว่าในการประชุม JBC พรุ่งนี้ จะไม่มีการอภิปรายประเด็น 2 ประเด็น ได้แก่
1. ประเด็นชายแดนที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ตาเมือนธม ตาเมือนโตช ตากระบี และมอมเตย จะไม่ถูกหารือในการประชุม JBC เนื่องจากกัมพูชาได้ตัดสินใจที่จะส่งประเด็นชายแดนใน 4 พื้นที่ดังกล่าวไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
ฝ่ายกัมพูชากำลังรอท่าทีของฝ่ายไทยในการประชุม JBC พรุ่งนี้ว่าไทยจะร่วมกับกัมพูชาในการนำประเด็นใน 4 พื้นที่ดังกล่าวไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือไม่ ข้าพเจ้าขอชี้แจงให้พี่น้องชาวกัมพูชาทราบว่า แม้ฝ่ายไทยจะปฏิเสธหรือไม่ให้คำตอบ กัมพูชาจะยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศใน 4 ประเด็นนี้ฝ่ายเดียว และกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศจะส่งหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน

2. ประเด็นการปิดพรมแดนจะไม่เป็นประเด็นที่ต้องหารือกันในการประชุม JBC พรุ่งนี้ เนื่องจากการปิดหรือเปิดจุดผ่านแดนไม่ใช่เขตอำนาจของ JBC ในทางกลับกัน ประเด็นการปิดพรมแดนจะแก้ไขได้ง่ายหากกองทัพไทยซึ่งเริ่มปิดจุดผ่านแดนฝ่ายเดียวตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน เปิดพรมแดนกลับคืนสู่สถานะเดิมฝ่ายเดียว กัมพูชาไม่มีเจตนาที่จะก่อปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อการเดินทางหรือการค้าของคนไทยและกัมพูชาตามแนวชายแดน อย่างไรก็ตาม กัมพูชายังสามารถดำเนินมาตรการตอบโต้ภัยคุกคามหรือแรงกดดันจากภายนอกได้
ข้าพเจ้าขอเน้นย้ำว่า กัมพูชาไม่ได้เป็นผู้ก่อปัญหา ดังนั้นกัมพูชาไม่ควรเป็นผู้ยุติปัญหานี้ก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นโดยฝ่ายเดียวต้องยุติโดยฝ่ายเดียว ไม่จำเป็นต้องมีการเจรจา ใครเริ่มก่อนก็จบก่อน”


ขณะที่ สมเด็จฯ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กก่อนการประชุม JBC เช่นกัน โดยระบุใจความว่า…
“เรียนพี่น้องชาวกัมพูชาที่ข้าพเจ้ารักและเคารพอย่างสุดซึ้ง และมิตรสหายชาวต่างชาติที่เคารพทุกท่าน
ณ เวลานี้ ข้าพเจ้ามั่นใจว่า ทั้งเพื่อนร่วมชาติของเราและมิตรสหายจากนานาประเทศ คงเข้าใจได้มากขึ้นถึงเหตุผลที่ข้าพเจ้าตัดสินใจสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนกัมพูชาในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติลงมติ “คัดค้าน” รัสเซียจากกรณีการรุกรานยูเครนในปี ค.ศ. 2022 การตัดสินใจที่สร้างความแปลกใจให้หลายประเทศต่อจุดยืนของกัมพูชาในครั้งนั้น
ข้าพเจ้าเชื่อมาโดยตลอดว่า วันหนึ่งประเทศไทยอาจกระทำการบางอย่างซ้ำรอยกับเหตุการณ์ระหว่างปี 2008 – 2011 และในวันนี้ เราเริ่มเห็นพฤติกรรมที่ละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และมีลักษณะรุกรานอย่างชัดเจน ดังนั้น การตัดสินใจของข้าพเจ้าในขณะนั้น จึงสามารถเข้าใจได้ในบริบทของชุมชนนานาชาติที่ยึดมั่นในหลักนิติธรรม รวมถึงในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับประเทศไทยในอนาคต

กัมพูชาขอเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ที่ยึดมั่นในนโยบายต่างประเทศภายใต้หลักนิติธรรม สนับสนุนให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ และเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ
กัมพูชา ขอให้ประเทศที่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ สนับสนุนให้ประเทศไทยแก้ไขข้อพิพาทเขตแดนร่วมกับกัมพูชาผ่านกระบวนการของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) โดยเฉพาะใน 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1. พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างกัมพูชา ลาว และไทย
2. ปราสาทตาเมือนธม
3. ปราสาทตาเมือนโต๊จ
4. ปราสาทตาควาย
กัมพูชาไม่ได้ร้องขออาวุธหรือกระสุนที่นำไปสู่การนองเลือดกับประเทศไทย แต่กัมพูชาต้องการการสนับสนุนให้หันหน้าเข้าสู่แนวทางสันติวิธี ผ่านการเจรจาทวิภาคีและกระบวนการทางกฎหมาย
เส้นเขตแดนระหว่างกัมพูชา – ไทย มีความยาวมากกว่า 800 กิโลเมตร แต่กัมพูชาเพียงขอให้พิจารณา 4 พื้นที่ ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงต่อความขัดแย้งทางทหารในอนาคต และต้องได้รับการแก้ไขล่วงหน้าผ่านกระบวนการศาล เพราะปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้แม้ภายใน 100 ปีหากอาศัยเพียงกลไกทวิภาคี ดังนั้น มีเพียงศาลโลกเท่านั้นที่สามารถตัดสินข้อพิพาทเหล่านี้ได้อย่างเด็ดขาด
การเลือกใช้เส้นทางกฎหมาย ไม่ใช่การยั่วยุให้เกิดสงคราม แต่เป็นหนทางที่สันติ ถูกต้องตามกฎหมาย และป้องกันไม่ให้เกิดการนองเลือดในอนาคต สำหรับรัฐบาลแล้ว การแก้ปัญหาผ่านศาลยังทำให้สามารถอธิบายผลลัพธ์ต่อประชาชนของตนได้อย่างชัดเจน แม้คำตัดสินจะไม่เป็นไปตามที่ต้องการก็ตาม
ในหมู่ประเทศอาเซียน เรามีตัวอย่างที่ดี อาทิ อินโดนีเซียกับมาเลเซีย หรือสิงคโปร์กับมาเลเซีย ซึ่งต่างก็เคยนำข้อพิพาทด้านเขตแดนเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก และยอมรับคำตัดสิน ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางการทูตของประเทศเหล่านั้นยังคงแน่นแฟ้น และไม่เกิดความตึงเครียดในระยะยาว
การหลีกเลี่ยงกระบวนการยุติธรรม ถือเป็นการละเมิดและไม่เคารพหลักนิติธรรมในระเบียบโลกที่ยึดมั่นและให้เกียรติกฎหมาย”
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คณะผู้แทนจากไทย ได้เดินทางถึงกรุงพนมเปญ เป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ จับตาดูกันว่าประชุมกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) วันนี้จะเป็นอย่างไร

หากมีความคืบหน้าจะอัปเดตให้ทราบ