คลัง ให้ผู้ค้าน้ำมันเจ้าใหญ่ ส่งแพลนสำรอง-ส่งออก รับสงครามเดือด

เตรียมพร้อม! “คลัง” ให้ผู้ค้าน้ำมันเจ้าใหญ่ ส่งแผนบริหารจัดการน้ำมัน “สำรอง-ส่งออก” รับสงครามอิสราเอล-อิหร่าน และความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ป้องกระทบประชาชน

วันนี้ (23 มิ.ย.68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สถานการณ์การสู้รบของปะเทศในตะวันออกกลาง (อิหร่าน-อิสราเอล) โดยภายหลังจากได้คุยกับภาคเอกชน  เช่น คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) และผู้ค้าพลังงานรายใหญ่ ซึ่งกระทรวงการคลังได้กำหนดให้ผู้ค้ารายงานตัวแผนสำรองน้ำมัน และแผนการส่งออก เพื่อบริหารจัดการน้ำมันภายในประเทศ 

เนื่องจากหากเกิดเหตุการตะวันออกกลาง (อิหร่าน-อิสราเอล) หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน (ไทย-กัมพูชา) และเกิดเหตุรุนแรง โดยจะมองผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจเป็นหลัก

“ได้คุยกับเอกชนและผู้ค้ารายใหญ่ เรื่องแผนบริหารน้ำมัน ทั้งด้านสำรองและส่งออก โดยให้การบ้านว่าให้เอาข้อมูลมาแล้วบอกแพลนว่าจะทำอย่างไร ถ้าเตรียมข้อมูลได้เร็วยิ่งดี มองว่าเตรียมสำรองเพิ่มขึ้นหน่อยก็ดี ส่วนสัดส่วนที่ส่งออกไปกัมพูชาไม่เยอะ”นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยกล่าวว่า ผลต่อราคาทิศทางน้ำมัน หากสถานการณ์ยืดเยื้อ กระทรวงการคลังพิจารณาใกล้ชิดอยู่ 2 ประเด็น 1.ราคาพลังงาน และ 2.เงินทุนเคลื่อนย้ายหรือไม่ จากเหตุผลใดที่ต้องติดตามใกล้ชิด เพราะเป็นจุดแข็งของประเทศ

อย่างไรก็ตาม หากราคาน้ำมันปรับขึ้นจะใช้มาตรการภาษีน้ำมันเข้าช่วยเหลือได้หรือไม่นั้น ราคาน้ำมันในปัจจุบันยังพอดูแลได้อยู่แต่ถ้าขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลต้องใช้มาตรการกองทุนน้ำมันฯ เข้าช่วยเหลือ แต่ต้องดูตามสถานการณ์

“เรื่องพลังงาน หลายอย่างต้องดู อย่างไรก็ตาม ในบ้านเรา เงินเฟ้อต่ำ แต่มี 2-3 ตัวที่เป็นเหตุลให้เงินเฟ้อสูง 1.พลังงาน 2.นำเข้าปุ๋ย เรื่องที่เกี่ยวกับสงครามจะทำให้ราคาสูงขึ้น ยังเป็นเรื่องที่เดาไม่ได้ อย่างน้อยก็รู้ว่าเกิดจากตัวไหนจะบริหารให้ดีที่สุด“นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยกล่าวว่า นอกจากนี้ งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท จะมีการแถลงในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ เปิดเผยถึงการใช้งบฯ อย่างไร กระจายรายได้อย่างไร และสร้างผลงานอย่างไร ซึ่งมีการชี้แจงอย่างละเอียด ซึ่งให้คณะกรรมการฯ กลั่นกรองนโยบายจะกรองว่าอะไรที่จำเป็นใช้แล้วเกิดผล และอะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้

ซึ่งจะเห็นใช้งบฯ ไป 1.1 แสนล้านบาท และเหลือ 4-5 หมื่นล้านบาท จำนวนเงินนี้สามารถหยิบมาใช้กับโครงการที่ถูกต้องและเหมาะสม เช่น การปล่อยซอฟต์โลน ทำได้ 2 วิธี คือ 1.ปล่อยผ่านแบงก์รัฐ ให้รัฐบาลช่วยสนับสนุน และ 2.รัฐบาลจะให้เงินไปถึงผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี) ซึ่งจะส่งผ่านผู้ประกอบการที่อยู่ในประกันสังคม

ทั้งนี้ สถานการณ์การเจรจากับสหรัฐฯ เรื่องการปรับลดภาษีที่เก็บไทยสูงถึง 36-37% มองในแง่ดี แม้จะช้าแต่ยังไม่มีประเทศไหนที่ได้เจรจาแล้วได้ข้อสรุป คาดว่าหลายประเทศมีเงื่อนไขคล้ายกับไทย หวังว่าทิศทางจะจบในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นกลับขึ้นมานิดหน่อย