กสิกรไทย แนะนโยบายรถเก่าแลกใหม่ ฟื้นยอดขาย “รถยนต์”

เร่งฟื้นยอดขาย! “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ชี้ 4 เงื่อนไขสำคัญ ก่อน “รัฐบาล” ลุยนโยบาย “รถเก่าแลกใหม่” แนะทำในกลุ่มรถยนต์ ปั๊มยอดขายในประเทศฟื้น หลังถูก “ค่ายจีน” รุกหนัก ทำราคาตกฮวบ 30-40%

วันนี้ (17 มิ.ย.68) นายรุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ยอดขายรถยนต์ในไทยลดลง จึงมีข้อเสนอนโยบายต่อรัฐบาลในการกระตุ้นกำลังซื้อ และเพิ่มยอดขายรถยนต์ในประเทศ แม้ช่วงที่ผ่านมาจะมีนโยบายกระตุ้นการซื้อรถกระบะ แต่ผลลัพธ์ยังไม่ชัดเจนมากนัก

นายรุจิพันธ์กล่าวว่า แต่อีก 1 นโยบายที่มีการพูดคุยเมื่อ 3 ปีก่อน คือ นโยบายรถเก่าแลกรถใหม่ โดยให้นำรถเก่ากลับมาแล้วให้ส่วนลดในการซื้อรถใหม่ นโยบายนี้เป็นนโยบายที่น่าสนใจที่จะดำเนินการต่อ

หากพิจารณาว่ามีประเทศใดได้ใช้นโยบายนี้แล้วเกิดผลอย่างไร โดยย้อนไปช่วงเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ (วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์) ในปี 2550-2551 ซึ่งมี 3 ประเทศที่ใช้นโยบายนี้ คือสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเยอรมัน ผลการดำเนินงานก็ประสบผลสำเร็จ สะท้อนจากยอดขายรถช่วงที่มีนโยบายนี้เพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ก็มีบทเรียนจากนโยบายที่ตองพิจารณา 4 ประเด็น หากต้องการดำเนินนโยบายนี้ 1.งบประมาณที่จะนำมาใช้อาจมีข้อจำกัด แต่นโยบายที่จะนำมาใช้อาจไม่จำเป็นต้องมาจากภาครัฐบาลอย่างเดียว สามารถสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน (ค่ายรถ) ในการออกโปรโมชั่น

2.ตัวรถยนต์ใหม่ที่จะซื้อควรเป็นรถที่ผลิตในประเทศ และไม่ใช่รถที่นำเข้าจากต่างประเทศ 3.อายุรถที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งการกำหนดอายุรถมีส่วนสัมพันธ์กับขนาดและจำนวนรถที่จะเข้าร่วมนโยบายได้ เช่น รถที่มีอายุมากกว่า 20 ปีที่จดทะเบียนในไทย จำนวน 3.7 ล้านคัน ส่วนอายุ 16-19 ปี มี 2.6 ล้านคน รวม 2 กลุ่มนี้ 6-7 ล้านคัน ช่วยกระตุ้นยอดขายและช่วยสิ่งแวดล้อม

และ 4.ระยะเวลาโครงการกับราคาส่วนลดที่จะได้รับ หากให้ส่วนลดน้อยเกินไปทำให้ผู้ที่มีรถเข้าเกณฑ์ นำรถไปขายตลาดรถมือ 2 ที่มีราคาสูงกว่า จึงจำเป็นต้องพิจารณาการตั้งราคาให้เหมาะสม สำหรับผู้ที่มีรถยนต์ที่เข้านโยบายนี้ได้

ทั้งนี้ ประเมินยอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวลึกขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ที่ -1.7% เทียบกับช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ -1.0% จากภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้กำลังซื้ออ่อนแอ และการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์รวมอยู่ที่ 5.65 แสนคัน ลดลง 1.3%

ขณะเดียวกัน การแข่งขันสูงขึ้น ซึ่งมีค่ายรถยนต์หน้าใหม่ส่วนใหญ่เป็นสัญชาติจีน ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เข้ามากินส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ สะท้อนปี 2567 จีนมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 13% แต่ปี 2568 เพิ่มขึ้นที่ 19% การเข้ามาค่ายรถจีน ทำให้รูปแบบตลาดรถยนต์ไทยเปลี่ยนไป จากการใช้กลยุทธ์ด้านราคาเป็นหลัก ทำให้ช่วง 1-2 ปี ราคารถยนต์ที่ขายในไทยลดลงแรงถึง 30-40%

ขณะที่ยอดการผลิตรถยนต์ปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.38 ล้านคัน ลดลง 6.1% โดยครึ่งปีแรกนี้ การผลิตรถยนต์หดตัวที่ 13.2% แต่ครึ่งหลังปีนี้ การผลิตมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นที่ 1.7% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตรถยนต์ BEV (รถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่) เพิ่มขึ้น

แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่เร่งขึ้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี หากพิจารณาส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไทยสูงขึ้น ดังนี้ ปี 2567 ส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไทย เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) อยู่ที่ 64% รถยนต์ไฮบริด (HEV) 22% รถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) 2% และรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 12%

เทียบกับปี 2568 ส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไทย เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) อยู่ที่ 53% รถยนต์ไฮบริด (HEV) 26% รถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) 4% และรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 17%

นอกจากนี้ การแข่งขันที่สูงขึ้นภายใต้ภาวะตลาดที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้ค่ายรถยังคงใช้กลยุทธ์ราคา ซึ่งส่วนใหญ่รถยนต์ BEV มีการปรับราคาลงต่อเนื่อง เช่น

  • Tesla Model Y ครึ่งแรกปี 2567 ราคาเกือบ 2.5 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปี 2568 ราคาลดลงต่ำกว่า 2 ล้านบาท
  • BYD Atto 3 ครึ่งแรกปี 2567 ราคาขายอยู่ที่ 1 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปี 2568 ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท
  • Ora Good Cat ครึ่งแรกปี 2567 ราคาขายอยู่ที่เกือบแตะ 1 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปี 2568 ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท
  • Neta V-II ราคาขายสูงกว่า 0.5 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปี 2568 ราคาต่ำกว่า 0.5 ล้านบาท

“ช่วงครึ่งหลังปีนี้การผลิตรถยนต์จะกระเตื้องขึ้น จากการผลิตรถอีวีเพิม จากหลายๆ ค่ายเริ่มผลิตรถอีวีมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าระยะแรก (EV3.0) และ 3.5 ที่จะต้องผลิตรถในประเทศชดเชยจากที่นำเขารถมาขายในไทย ส่วนนี้จะเป็นแรงหนุนให้การผลิตไม่ติดลบ”นายรุจิพันธ์กล่าว