
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.ได้ร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เปิดตัว “บริการแจ้งเตือนภัยมิจฉาชีพ” ฟีเจอร์ใหม่บน LINE Official “BAAC Family” เพื่อเป็นช่องทางในการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคาร ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าติดต่อสื่อสารผ่านระบบดิจิทัลของธนาคารมากกว่า 14 ล้านราย
สำหรับ LINE Official “BAAC Family” ถือเป็นการยกระดับความปลอดภัยให้เข้าถึงเครื่องมือในการเช็ก – แจ้ง – เตือนภัยมิจฉาชีพได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ บัญชีม้าหรือบัญชีปลอม ต้องสงสัย เว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัยและอันตราย รวมไปถึงการแจ้งเบาะแสอาชญากรรมให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเรียลไทม์ แบบ “All in one place” ครบจบในแชตเดียว
“ปัจจุบันลูกค้าของธนาคารส่วนใหญ่ เป็นผู้สูงอายุ เราจึงจำเป็นต้องออกแบบเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ใหม่ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่สูงอายุเหล่านี้ เพราะโอกาสที่จะถูกหลอกง่ายกว่า กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่”
นายฉัตรชัย กล่าวว่า ธนาคารไม่สามารถระบุได้ว่า มีลูกค้าของ ธ.ก.ส.จำนวนกี่หลายที่ถูกแก๊งต้มตุ๋นหลอกลวง เนื่องจากธนาคารจะได้รับแจ้งจากลูกค้ากรณีที่เกิดความเสียหายจริงๆ เท่านั้น บางรายความเสียหายไม่มาก หรือไม่มีความเสียหายเลย เรื่องก็ไม่มาที่ธนาคาร ดังนั้น การมี “BAAC Family” ช่วยทำให้ลูกค้าของธนาคารสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ เช่น การรับเงินเยียวยาจากภาครัฐ กรณีที่เกิดความเสียหายจากภัยแล้งหรือน้ำท่วม เป็นต้น
ด้านพล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กล่าวว่า ขณะนี้ ภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทวีความรุนแรงขึ้นมาก โดยในประเทศไทยมีความเสียหายมากถึงปีละ 30,000 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูงในการถูกหลอกผ่านเอสเอ็มเอส หรือ LINE ที่แอบอ้างว่าเป็นหน่วยงานรัฐ เช่น เงินช่วยเหลือ หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ตลอดจนมิจฉาชีพปรับเปลี่ยนวิธีการหลอกลวงอย่างรวดเร็ว เข้าถึงประชาชนได้ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ ทั้งจากการโทรหลอกลวง จึงได้เกิดความร่วมมือครั้งนี้ขึ้น
สำหรับความเสียหายจากการโดนหลอกของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังจากรัฐบาลมีการปราบปรามอย่างจริงจัง ทำให้ในช่วงต้นปี ยอดแจ้งความเสียหายลดลงจาก ปกติเฉลี่ยวันละ 1,200-1,300 คดี เหลือ 800 คดี อย่างไรก็ตามช่วงหลังแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการปรับตัว โดยย้ายศูนย์บัญชาการจากติดชายแดนไทยไปติดอีกชายแดนประเทศหนึ่ง รวมถึงมีการลงทุนปรับโครงสร้างพื้นฐานหลอกลวงครั้งใหญ่ เช่น การใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ทผ่านระบบดาวเทียมแทนเสาสัญญาณจากเมืองไทย และลงทุนระบบเทคโนโลยีมาหลอกลวง จากเดิมมีการจ้างคนไทยมาหลอกคนไทย แต่ต่อไปจะสร้างอัลกอริทึม และใช้ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) มาปลอมเสียง ปลอมภาพเป็นคนไทย เพื่อโน้มน้าวให้เหยื่อโอนเงินอย่างแนบเนียน
ส่วนความคืบหน้าการใช้ พ.ร.ก.ไซเบอร์ ให้ธนาคารและค่ายมือถือ ร่วมรับผิดชอบประชาชนถูกหลอกลวง ซึ่งประกาศลงราชกิจจานุเบกษาไปแล้วเมื่อเดือนเม.ย.นี้ ขณะนี้ อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะธุรกรรมที่ต้องสงสัย 21 รูปแบบ และจะเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกกฎหมายบังคับใช้โดยครอบคลุมทั้งธนาคารพาณิชย์ ผู้ให้บริการอีเพย์เมนท์ สกุลเงินดิจิทัล ซึ่งผู้ให้บริการจะต้องสร้างระบบป้องกันแอพฯดูดเงินให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะต้องมีส่วนรับผิดชอบความเสียหาย เป็นต้น