
วันนี้ (14 ก.ค. 2568) นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ ว่า สถานการณ์อุทกภัยจากฝนที่ตกต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคตะวันออกในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ โดยมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 3 จังหวัดได้แก่ จังหวัดตราด บริเวณ อ.เขาสมิง โครงการชลประทานตราด สํานักชลประทานที่ 9 ได้ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ความช่วยเหลือ พร้อมเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ส่วนจังหวัดนครพนม มีพื้นที่ได้รับผลกระทบรวม 6 อําเภอ ได้แก่ อ.นาหว้า อ.ศรีสงคราม อ.เรณูนคร อ.นาแก อ.วังยาง และ อ.โพนสวรรค์ โครงการชลประทานนครพนม สํานักงานชลประทานที่ 7 ได้ดําเนินการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ บริเวณประตูระบายน้ำบ้านหนองบัว อ.นาหว้า จํานวน 6 เครื่อง บริเวณประตูระบายน้ำน้ำอูน อ.ศรีสงคราม จํานวน 4 เครื่อง และบริเวณสะพานมิตรภาพลําน้ำอูน อ.ศรีสงคราม จํานวน 10 เครื่อง พร้อมแจ้งเตือนสถานการณน้ำให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องไว้ค่อยช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยได้อย่างทันที
ด้านจังหวัดสกลนคร มีพื้นที่ประสบอุทกภัยบริเวณ อ.โพนนาแก้ว โครงการส่งและบํารุงรักษาน้ำก่ำ สํานักงานชลประทานที่ 7 ได้ดําเนินการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ บริเวณประตูระบายน้ำบ้านหนองบึง เพื่อช่วยเร่งการระบายน้ำในลําน้ำก่ำ พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำและแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง
นายเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำสะสมทั้งสิ้นประมาณ 44,275 ล้าน ลบ.ม. (58% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) สามารถรับน้ำได้อีก 32,227 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 13,567 ล้าน ลบ.ม. (55% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) สามารถรับน้ำได้อีก 11,304 ล้าน ลบ.ม. ภาพรวมปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ในเกณฑ์ดี
ขณะที่ด้านกรมอุตุนิยมวิทยา ได้คาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 14 – 19 ก.ค. 2568 ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกกระจายตัวเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีฝนตกหนักบางพื้นที่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนบางพื้นที่ จึงยังคงต้องระวังฝนตกสะสมและน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ส่วนภาคใต้ยังมีฝนบางแห่ง คลื่นลมเบาลง เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุม ยังมีกำลังปานกลาง
“ได้กำชับไปยังโครงการชลประทานในพื้นที่ ให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์วางแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมทั้งพิจารณาปรับการระบายน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบต่อท้ายเขื่อน เพื่อรองรับปริมาณฝนที่จะเพิ่มขึ้น ตามข้อสั่งการของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.) ที่สำคัญให้ปฏิบัติตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 อย่างเคร่งครัด รวมทั้งมั่นตรวจสอบอาคารชลศาสตร์และกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนกำหนดพื้นที่เสี่ยง”
พร้อมมอบหมายเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องจักรเครื่องมือประจำจุดเสี่ยง เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที สามารถลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด ตามข้องสั่งการของ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์