สอยกล่องดวงใจ “ฮุน เซน” ปราบสแกมเมอร์-แก๊งคอลเซ็นเตอร์

ต้องเชือด! รัฐบาลไทยต้องปราบสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ด้วยมาตรการสุดซอย เพื่อกระทบกล่องดวงใจ “ฮุน เซน” และรัฐบาลกัมพูชา ตัดเส้นเลือดทางการเงิน

คอลัมน์ : ห้อยหัววิเคราะห์ข่าว

รัฐบาลไทยควรผนึกกองทัพออกมาตรการที่แข็งกร้าวในการจัดการธุรกิจกาสิโน สแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเครือข่ายธุรกิจสีเทาในกัมพูชาอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ เพื่อสร้างแรงกดดันต่อกลุ่มอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลกัมพูชาโดยตรง

มาตรการสุดซอยเช่นการปิดด่านถาวรตามแนวชายแดนกัมพูชาทุกช่องทาง เพื่อปิดกั้นการเคลื่อนย้ายของนักท่องเที่ยวและนักพนันจากประเทศไทย ที่ถือเป็นลูกค้าที่มีสัดส่วนมากที่สุด โดยเฉพาะในบ่อนกาสิโนต่างๆ ในปอยเปตที่มีมากถึง 26 แห่ง รวมถึงการจำกัดการเดินทางของพนักงานชาวไทยที่ทำงานในบ่อนกาสิโนและแหล่งบันเทิงต่างๆ ตามแนวชายแดน ควรถูกนำมาใช้อย่างเร่งด่วน เพื่อเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงและแหล่งรายได้หลักของสมเด็จฮุนเซนและรัฐบาลกัมพูชาโดยตรง และสร้างผลกระทบต่อประชาชนทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาน้อยที่สุด มาตรการที่เข้มงวดที่เพิ่มแรงกดดันต่อสมเด็จฮุนเซนและรัฐบาลกัมพูชายังอาจรวมถึงการตัดไฟและสัญญาณอินเตอร์เน็ตเป็นการถาวร

ธุรกิจบ่อนกาสิโน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และเครือข่ายธุรกิจสีเทาทั้งหมดของกัมพูชา ที่เป็นแหล่งเงินทุนและเครือข่ายเชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจ กลุ่มทุน และกลุ่มผู้มีอำนาจทางธุรกิจและการเมืองเหนือรัฐบาลกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายธุรกิจของฮุนเซนและครอบครัวตระกูลฮุนทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้กลับสร้างผลกระทบเชิงลบต่อความมั่นคง และความสูญเสีย ที่มีต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทย ผ่านการหลอกลวงออนไลน์จากสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ถูกเพิกเฉยจากรัฐบาลกัมพูชาที่ได้รับผลประโยชน์จากเครือข่ายอาชกรรมข้ามชาติเหล่านี้โดยตรง

มาตรการการปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศกัมพูชาถือเป็นการแสดงจุดยืนของประเทศไทยประเทศไทยในเวทีนานาชาติในการปราบปรามสแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเครือข่ายธุรกิจสีเทาอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม เนื่องจากกิจการและอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ถือเป็นภัยที่ร้ายแรงต่อมวลมนุษยชาติ โดยธุรกิจสีเทาและการฉ้อโกงเหล่านั้นล้วนมีความเป็นเจ้าของโดยกลุ่มจีนเทา รวมถึงกลุ่มทุนจากกัมพูชาและประเทศไทย หากแต่ได้สร้างผลกระทบต่อประเทศไทยคิดเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี โดยบ่อนกาสิโน ศูนย์บันเทิงครบวงจร และธุรกิจสีเทาเหล่านี้ โดยเฉพาะในปอยเปต ถือเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศกัมพูชา

โดยในปี 2567 กัมพูชาสามารถเก็บภาษีจากบ่อนกาสิโนเพิ่มขึ้นถึง 85% เทียบกับปี 2566 คิดเป็นมูลค่า 63.1 ล้านดอลล่าสหรัฐ หรือมากกว่า 2,500 ล้านบาท โดยเฉพาะในปอยเปตที่มีพื้นที่เพียงแค่ 30-40 ตารางกิโลเมตร แต่มีบ่อนกาสิโนมากถึง 26 แห่ง รายได้จากบ่อนกาสิโนและธุรกิจสีเทาเหล่านี้จึงถือเป็นรายได้หลักของประเทศกัมพูชาคือมีมูลค่าถึง 40,000 ล้านบาทต่อปี ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการบ่อนปอยเปตมากที่สุดคือนักพนันจากประเทศไทย ตามมาด้วยจากประเทศจีน ธุรกิจบ่อนกาสิโน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ ธุรกิจสีเทาทุกรูปแบบ จึงน่าจะเป็น “กล่องดวงใจ” ที่สร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับกลุ่มทุนและกลุ่มอำนาจทางการเมืองที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อรัฐบาลกัมพูชา

โดยวานนี้ (17 มิถุนายน 2568) กองกำลังบูรพาได้ทำหนังสือราชการถึงผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว เรื่องมาตรการควบคุมจุดผ่านแดนถาวร จุดผ่อนปรนเพื่อการค้าฯ ในพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว โดยอ้างคำสั่งกองทัพบกที่ออกเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน และคำสั่งกลาโหมเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ให้เพิ่มความเข้มงวดมาตรการควบคุมเพื่อรักษาความปลอดภัยสูงสุดของคนไทยที่จะข้ามแดนไปยังราชอาณาจักรกัมพูชา โดยห้ามไม่ให้คนไทยที่เป็นพนักงานทุกประเภทของบ่อนการพนัน/กาสิโน และสถานบันเทิงทุกชนิดในกรุงปอยเปตออกนอกราชอาณาจักรไทยผ่านทุกจุดผ่านแดน มาตรการที่เข้มงวดดังกล่าวถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการปราบปรามแหล่งอบายมุขและอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นการจำกัดแหล่งรายได้อันจะเป็นการสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลกัมพูชาโดยตรง

นอกจากมาตรการต่างๆ ตามแนวชายแดนแล้ว ประเทศไทยยังควรมีมาตรการเชิงรุกในการเปิดโปงข้อกล่าวหานานาชาติที่มีต่อฮุนเซนและครอบครัวตระกูลฮุน ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมโยงกับเครือข่ายการฟอกเงิน สแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่มีผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการค้ามนุษย์ การกักขังหน่วงเหนี่ยว การละเมิดสิทธิมนุษยชน การบังคับใช้แรงงานและการค้าประเวณี เป็นต้น เงินจำนวนมหาศาลที่ได้จากการล่อลวงนี้ถือเป็นรายได้สำคัญของเครือข่ายผู้นำกัมพูชาที่มีสัดส่วนถึง 60% ของจีดีพีประเทศ รายได้บางส่วนใช้ในการซื้ออาวุธเพื่อมาเผชิญหน้ากับประเทศไทยในข้อพิพาทชายแดน ฮุนเซนและเครือข่ายตระกูลฮุนในกัมพูชาจึงควรถูกตรวจสอบจากศาลอาญาระหว่างประเทศหรือ ICC โทษฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เนื่องจากเครือข่ายอำนาจตระกูลฮุนอาจจะรู้เห็นหรือได้ประโยชน์จากธุรกิจสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้

โดยล่าสุดสหรัฐฯ ได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทที่ชื่อว่า Huione Group ซึ่งเป็นของหลานชายของฮุนเซนฐานเป็นเครือข่ายฟอกเงินระดับโลกมูลค่าถึง 4,000 ล้านเหรียญ (1.3 แสนล้านบาท) ที่ให้บริการแก่แก๊งหลอกลวงออนไลน์ เว็บพนัน และแม้แต่แฮกเกอร์เกาหลีเหนือ เป็นต้น นอกจากนี้ กัมพูชายังเป็น 1 ใน 36 ประเทศ และเป็นเพียงประเทศเดียวในอาเซียนที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จ่อแบนพลเมืองเข้าประเทศสหรัฐฯ โดยให้เหตุผลมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัย

กัมพูชาเองยังถูกมองเป็นศูนย์กลางของการฉ้อโกงและธุรกิจสีเทาในภูมิภาคอาเซียนโดยมีกลุ่มอาชญากรจีนเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ โดยธุรกิจการหลอกลวง หรือ Scamming ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมหลักในประเทศกัมพูชาที่สร้างผลกำไรมหาศาล จนได้ฉายาว่า สแกมโบเดีย (Scambodia) โดยประมาณการรายได้ต่อปีอยู่ที่ 12,500-19,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 400,000-600,000 ล้านบาท สูงกว่ารายได้จากภาคสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ รายงาน “Policies and Patterns: State-Abetted Transnational Crime in Cambodia as a Global Security Threat” ซึ่งเขียนโดย “เจคอบ ซิมส์” (Jacob Sims) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมข้ามชาติและความมั่นคงในภูมิภาค ได้ชี้ว่ากัมพูชากำลังกลายเป็น “ศูนย์กลางของเศรษฐกิจการหลอกลวง” ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจการหลอกลวงของกัมพูชามีกำลังแรงงานที่ถูกบีบบังคับกว่า 150,000 คน อุตสาหกรรมอาชญากรรมไซเบอร์นี้มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในอาเซียน และถ้าปล่อยไว้โดยไม่รีบจัดการ ในไม่ช้าอาจเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่เกินกว่าจะถูกแก้ไขและปราบปรามได้

ผู้เขียน : ดร.ขวัญชัย รุ่งฟ้าไพศาล อดีตบรรณาธิการ โต๊ะข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมากว่า 30 ปี