หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 28 พ.ย.66 เห็นชอบ การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ การปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ การปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว และแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบราชการ ตามที่ สำนักงาน ก.พ. เสนอ โดยการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ จะทยอยปรับตามคุณวุฒิ ภายใน 2 ปี ซึ่งปีที่ 1 คือ 1 พ.ค.67 และปีที่ 2 คือ 1 พ.ค.68
ส่งผลให้เงินเดือนเปลี่ยนแปลงไปตามวุฒิการศึกษา ดังนี้
วุฒิการศึกษาระดับ ปวช.
ปัจจุบัน : 9,400 – 10,340
ปีที่ 1 : 10,340 – 11,380
ปีที่ 2 : 11,380 – 12,520
วุฒิการศึกษาระดับ ปวส.
ปัจจุบัน : 11,500 – 12,650
ปีที่ 1 : 12,650 – 13,920
ปีที่ 2 : 13,920 – 15,320
วุฒิการศึกษาระดับ ป.ตรี
ปัจจุบัน : 15,000 – 16,500
ปีที่ 1 : 16,500 – 18,150
ปีที่ 2 : 18,150 – 19,970
.
วุฒิการศึกษาระดับ ป.โท
ปัจจุบัน : 17,500 – 19,250
ปีที่ 1 : 19,250 – 21,180
ปีที่ 2 : 21,180 – 23,300
วุฒิการศึกษาระดับ ป.เอก
ปัจจุบัน : 21,000 – 23,100
ปีที่ 1 : 23,100 – 25,410
ปีที่ 2 : 25,410 – 27,960
ส่วนการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ
ปรับจำนวน 2 ครั้ง พร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุในปีที่ 1 และปีที่ 2 ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายผู้เข้ารับราชการก่อนวันที่อัตราแรกบรรจุที่กำหนดใหม่มีผลใช้บังคับอย่างน้อย 10 ปี
กลุ่มเป้าหมาย
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ข้าราชการรัฐสภาสามัญ พนักงานราชการ ข้าราชการในหน่วยธุรการของศาล ได้แก่ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลปกครอง และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ข้าราชการในสำนักงานขององค์กรอิสระและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ ได้แก่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และข้าราชการธุรการอัยการ
มีผลใช้บังคับ
ปีที่ 1 : ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567
ปีที่ 2 : ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568
การปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว
เพดานเงินเดือนขั้นสูงที่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว จากเดิมเงินเดือนไม่ถึงเดือนละ 13,285 บาท เป็น ไม่ถึงเดือนละ 14,600 บาท
ปรับเพดานขั้นต่ำของเงินเดือนรวมกับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว
จากเดิม เดือนละ 10,000 บาท เป็น เดือนละ 11,000 บาท
ปรับเงินเพิ่มการครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญขั้นต่ำ
จากเดิม 10,000 บาท เป็น 11,000 บาท
แนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบราชการ
– บริหารจัดการอัตรากำลังเพื่อเร่งรัดการเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยยุบเลิกตำแหน่งว่างจากการเกษียณในสายงานสนับสนุน (เฉพาะตำแหน่งที่สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้แทนได้) เป็นระยะเวลา 3 ปีต่อเนื่อง ควบคู่กับการดำเนินการตาม Digital Transformation Plan
– บริหารจัดการอัตรากำลังข้าราชการที่ไปช่วยราชการ โดย ครม. อาจมีมติเป็นหลักการให้ทบทวน หรือ ยกเลิก การช่วยราชการทั้งหมด และต่อไปหากมีความจำเป็นต้องขอยืมตัวข้าราชการให้เสนอขออนุมัติต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูง เช่น ปลัดกระทรวง เพื่อพิจารณาเป็นการเฉพาะราย
– เชื่อมโยงฐานข้อมูลข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเป็นมาตรการเชิงบังคับให้ส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐเชื่อมโยงฐานข้อมูลกำลังคนกับระบบ DPIS Center ของสำนักงาน ก.พ. เพื่อประโยชน์ในการวางแผน ติดตาม ตลอดจนเกลี่ยอัตรากำลังไปยังภารกิจที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน
– พัฒนาระบบค่าตอบแทนภาครัฐในระยะต่อไป ให้เหมาะสม เป็นธรรม สอดคล้องกับสภาวการณ์ และสะท้อนถึงผลการปฏิบัติงานที่แท้จริง เพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ เสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน โดยคำนึงถึงความยั่งยืนทางการคลังของประเทศและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ มอบ สำนักงาน ก.พ. ร่วมกับ คณะกรรมการบริหารงานบุคคลของข้าราชการประเภทต่าง ๆ ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และประสานกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง รับหลักการไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนของท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยคู่ฟ้า