
(วันนี้ 29 ก.ค.68) สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ รายงานสถานการณ์การค้าไทยประจำเดือนมิถุนายน 2568 พบว่าดัชนีราคาส่งออกและดัชนีราคานำเข้าของไทยยังคงขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนแรงขับเคลื่อนจากการเร่งนำเข้าสินค้าของประเทศคู่ค้า ก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะเริ่มบังคับใช้มาตรการปรับขึ้นภาษีศุลกากรในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ดัชนีราคาส่งออกของไทยอยู่ที่ระดับ 111.3 เพิ่มขึ้น 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการเร่งส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ก่อนที่มาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ ประกอบกับราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยทั่วโลก

ในรายละเอียด สินค้าอุตสาหกรรมที่มีดัชนีราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ทองคำ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ซึ่งไทยถือเป็นฐานการผลิตสำคัญในการส่งออกไปยังตลาดโลก รวมถึงเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน ซึ่งได้รับผลจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นและความต้องการใช้งานในต่างประเทศที่สูงขึ้นจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด
ในส่วนของสินค้าเกษตรแปรรูป หมวดอุตสาหกรรมการเกษตรก็ยังเติบโตเช่นกัน โดยราคาส่งออกอาหารทะเลกระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น น้ำผลไม้และน้ำดื่ม ปรับเพิ่มขึ้นตามความนิยมในอาหารสุขภาพ และการให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงในฐานะสมาชิกครอบครัว อย่างไรก็ตาม สินค้าในหมวดแร่และเชื้อเพลิง รวมถึงสินค้าเกษตรกรรมบางชนิด เช่น ข้าว และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง กลับมีราคาส่งออกลดลง โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบซึ่งได้รับผลกระทบจากการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส ขณะที่สินค้าเกษตรเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาด และการแข่งขันด้านราคาจากประเทศคู่แข่ง
ด้านดัชนีราคานำเข้าในเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ระดับ 115.4 เพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร และชิ้นส่วนอุตสาหกรรมเพื่อใช้ในการผลิต และรองรับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ก่อนที่มาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะสิ้นสุดช่วงผ่อนปรน นอกจากนี้ ความต้องการสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคภายในประเทศยังคงแข็งแกร่ง ทำให้ราคานำเข้าเพิ่มขึ้นในแทบทุกหมวดสินค้า
สินค้าในหมวดอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ยาและเวชภัณฑ์ เครื่องประดับ และของใช้เบ็ดเตล็ด มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนในหมวดวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป การนำเข้าทองคำและแผงวงจรไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามความกังวลเรื่องภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่ปุ๋ยก็เป็นอีกสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ในภาคเกษตร ท่ามกลางภาวะอุปทานที่ตึงตัว นอกจากนี้ ยังมีการนำเข้าสินค้าทุนอย่างเครื่องจักร เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อรองรับภาคการผลิตและการขยายตัวของเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงชิ้นส่วนยานยนต์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างไรก็ตาม หมวดสินค้าเชื้อเพลิงกลับมีราคานำเข้าลดลง โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ซึ่งปรับลดลงตามคาดการณ์ว่าอุปทานจะเกินความต้องการในตลาดโลก
นายพูนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 3 ปี 2568 คาดว่าดัชนีราคาส่งออกและนำเข้าจะยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินค้าประเภทอาหารและสินค้าเกษตรแปรรูปในตลาดโลกที่ยังแข็งแกร่ง รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI, Data Center และ EV ซึ่งยังคงได้รับความสนใจจากผู้ซื้อทั่วโลก นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยที่อาจดันราคาสินค้าให้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในประเทศคู่ค้าหลัก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อในหลายภูมิภาค ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีและการค้า โดยเฉพาะของสหรัฐฯ และแนวโน้มที่หลายประเทศเริ่มหันมาเน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง นอกจากนี้ การแข่งด้านราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก และการแข็งค่าของเงินบาทก็เป็นปัจจัยที่อาจกดดันภาคการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า