เตือน 13 จังหวัด เสี่ยงขาดน้ำ วอนปลูกพื้นทนแล้ง แทนทำนาปรัง

ช็อก! 13 จังหวัด 35 อำเภอ 76 ตำบล เสี่ยงขาดน้ำ ‘กรมส่งเสริมการเกษตร’ วอนปลูกพื้นทนแล้ง แทนทำนาปรัง

นายครองศักดิ์ สงรักษา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เผยว่า ประเทศไทย ขณะนี้ได้ก้าวเข้าสู่ฤดูกาลของการเพาะปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.66 จนถึง 30 เม.ย.67 สถานการณ์นี้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และมีคาดการณ์ว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญจะเกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้หลายพื้นที่ต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนน้ำ และอาจทำให้ปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานในระยะยาว

ในช่วงฤดูแล้งนี้ ได้มีการประเมินว่า พื้นที่เสี่ยงที่จะขาดแคลนน้ำสำหรับการเกษตร นอกเขตชลประทาน มีจำนวนถึง 924,438 ไร่ กระจายอยู่ใน 13 จังหวัด 35 อำเภอ และ 76 ตำบล ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่าวิตกและต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อหาทางแก้ไขและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ในการประชุมของคณะอนุกรรมการที่มีหน้าที่ในการวางแผนและติดตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร ได้มีการอนุมัติแผนการเพาะปลูกพืชในฤดูแล้งสำหรับปี 2566/67 โดยแผนการดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน คณะอนุกรรมการได้ตัดสินใจที่จะจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ในอ่างเก็บน้ำ เพื่อสนับสนุนการใช้น้ำในกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม แผนนี้ยังรวมถึงการจัดสรรน้ำตามระบบรอบเวร หรือการกำหนดวิธีการเพาะปลูกที่ประหยัดน้ำ เพื่อให้พื้นที่ต่างๆ มีน้ำใช้เพียงพอสำหรับการเพาะปลูกและกิจกรรมอื่นๆ ในช่วงฤดูแล้ง

สำหรับการอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศ การอุตสาหกรรม และการเพาะปลูกพืชต้นฤดูฝนปีถัดไปรวมทั้งได้มีการวางแผนการจัดสรรน้ำเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆ ตามลำดับความสำคัญ ดังนี้

  1. เพื่อการอุปโภค-บริโภค และการประปา

  2. เพื่อการรักษาระบบนิเวศทางน้ำ อาทิ การผลักดันน้ำเค็ม การขับไล่น้ำเสีย บรรเทาสาธารณภัย จารีตประเพณีและคมนาคม เป็นต้น

  3. เพื่อสำรองน้ำไว้สำหรับการใช้น้ำในช่วงต้นฤดูฝน สำหรับอุปโภค-บริโภคและรักษาระบบนิเวศ ระหว่างเดือน พ.ย.-ก.ค.67

  4. เพื่อการเกษตร

  5. เพื่อการอุตสาหกรรม

  6. เพื่อการพาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว และด้านการเกษตร

กรมฯ ได้กำหนดแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2566/67 ตามปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำ และความเหมาะสมของพื้นที่เพื่อให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกพืชได้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ดังนี้ แผนการพื้นที่การเพาะปลูกทั้งประเทศ จำนวน 10.66 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าวรอบที่ 2 จำนวน 8.13 ล้านไร่ แบ่งเป็น ในเขตชลประทาน 5.80 ล้านไร่นอกเขตชลประทาน 2.33 ล้านไร่ พืชไร่พืชผัก จำนวน 2.53 ล้านไร่ แบ่งเป็น ในเขตชลประทาน 0.57 ล้านไร่ นอกเขตชลประทาน 1.96 ล้านไร่

นายครองศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับลุ่มน้ำเจ้าพระยา 22 จังหวัด จำนวน 4.90 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าวรอบที่ 2 จำนวน 4.20 ล้านไร่ แบ่งเป็น ในเขตชลประทาน 3.03 ล้านไร่นอกเขตชลประทาน 1.17 ล้านไร่ พืชไร่พืชผัก จำนวน 0.70 ล้านไร่ แบ่งเป็น ในเขตชลประทาน 0.13 ล้านไร่ นอกเขตชลประทาน 0.57 ล้านไร่ และลุ่มน้ำแม่กลอง 7 จังหวัด จำนวน 1.13 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าวรอบที่ 2 จำนวน 0.86 ล้านไร่ แบ่งเป็น ในเขตชลประทาน 0.84 ล้านไร่นอกเขตชลประทาน 0.02 ล้านไร่ พืชไร่พืชผัก จำนวน 0.27 ล้านไร่ แบ่งเป็น ในเขตชลประทาน 0.17 ล้านไร่ นอกเขตชลประทาน 0.10 ล้านไร่

สำหรับการจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร เนื่องจากในบางพื้นที่มีปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำค่อนข้างน้อย จึงมีความจำเป็นต้องงดการจัดสรรน้ำในการเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2 ในช่วงฤดูแล้ง ปี 2566/67 ได้แก่ เขื่อนแม่กวงอุดมธารา จ.เชียงใหม่ เขื่อนกิ่วลม จ.ลำปาง เขื่อนแม่มอก จ.สุโขทัย เขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา เขื่อนมูลบน จ.นครราชสีมา เขื่อนลำนางรอง จ.บุรีรัมย์ เขื่อนทับเสลา จ.อุทัยธานี เขื่อนกระเสียว จ.สุพรรณบุรี เขื่อนประแสร์ จ.ระยอง เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี และเขื่อนปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

กรมฯ จึงขอแนะนำให้เกษตรกรปลูกพืชใช้น้ำน้อย ควรมีให้ความสำคัญกับการปฏิบัติดูแลรักษาพืชในช่วงฤดูแล้งที่ถูกต้องการรักษาความชื้น และลดการเผาตอซัง หรือเข้าร่วมโครงการต่างๆ ของรัฐ อาทิ โครงการพัฒนาศักยภาพกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร กิจกรรมส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเสริมสร้างรายได้แก่เกษตรกร และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรกิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 67 เป็นต้น เพื่อเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรในการปลูกพืชอื่นทดแทนการปลูกข้าวรอบที่ 2

คลิปอีจันแนะนำ
EP.1 ผมชื่ออ๊อฟ ยิ่งกว่านรก! ผมตายทั้งเป็น