
ผลการนับคะแนนเลือกตั้ง 2566 จากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่างไม่เป็นทางการ ขณะนี้ พรรคก้าวไกล ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 และอยู่ระหว่างการฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งนอกจากพรรคก้าวไกลแล้ว ยังประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย, พรรคไทยสร้างไทย, พรรคประชาชาติ, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคเป็นธรรม, พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคเพื่อไทรวมพลัง มีคะแนนเสียงรวม 313 เสียง
แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับการ ยกมือโหวต นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะคะแนนเสียงของสมาชิกรัฐสภา หรือ ส.ส.-ส.ว. รวมกัน ต้องเกินกึ่งหนึ่งของ 750 หรือ 376 เสียงขึ้นไป
ทั้งนี้ ขณะที่ชาวเน็ตพยายามส่งเสียงไปยัง ส.ว. ทั้ง 250 คน เพื่อขอความชัดเจนและทำตามเสียงของประชาชนทั้ง 14 ล้านเสียง ที่เลือกพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ให้ยกมือโหวต นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน ก็มีพรรคการเมือง อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่แม้อาจจะต้องเป็นพรรคฝ่ายค้าน
แต่ นายอลงกรณ์ พลบุตร รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เอง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า พรรค ปชป.ต้องเคารพเสียงของประชาชน ด้วยการลงมติสนับสนุน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่มีเงื่อนไขร่วมรัฐบาล หากพรรคก้าวไกล สามารถรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้สำเร็จ
และล่าสุด นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า พรรคเสียงข้างมากอันดับหนึ่ง 1 กับพรรคอันดับ 2 ที่มีแนวทางการเมืองเดียวกัน ควรจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันได้สำเร็จ ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นการสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศตามครรลองประชาธิปไตย
ผมหวังว่า คนไทยจะได้เห็นการขับเคลื่อนนโยบายหลายเรื่องของ #ก้าวไกล ถ้าทำได้ดีก็จะดีต่อประเทศ หรือถ้าทำไม่ได้ก็จะได้เรียนรู้ร่วมกันว่า เพราะอะไร
ซึ่งนโยบายหลายเรื่องเราเห็นปัญหาตรงกัน โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ และพลังงาน *ยกเว้นเรื่องมาตรา 112* ประเด็นพลังงาน ผมขอฝากไว้เรื่องเดียวครับว่า พรรคก้าวไกล ควรกำกับดูแลเป็นรัฐมนตรีเองโดยตรง ขอให้สู้กับทุนผูกขาดพลังงานนะครับ
อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาว่า พรรคก้าวไกล จะสามารถจัดตั้งรัฐบาล และสนับสนุน นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยได้ในเร็ววันหรือไม่