เปิดใจ สุกัญญา มิเกล และลูกชาย เรื่องปัญหาครอบครัว

เปิดใจ สุกัญญา มิเกล และลูกชาย เรื่องปัญหาครอบครัว หลังยื่นฟ้องศาลตัดสิทธิปกครองร่วมกับพ่อของลูก และตัดสิทธิความเป็นแม่ลูกกับสาว

ล่าสุดในรายการ คุยแซ่บโชว์ นักร้อง สาวคนเก่งอย่าง สุกัญญา มิเกล ก็ได้ควงลูกชายน้อง ธาเนีย มาเปิดหลังยื่นฟ้องศาลตัดสิทธิปกครองร่วมกับพ่อของลูก และตัดสิทธิความเป็นแม่ลูกกับสาวลูก พร้อมเล่าปัญหาครอบครัว ถูกมองว่าจะขายลูก และคุกคาม!

มีการยื่นฟ้องต่อศาลตัดสิทธิ์ในการปกครองร่วมของลูกชาย

มิเกล : เริ่มต้นเลย หย่าเแยกกันดูแล หย่าตั้งแต่ปี 58 ศาลสั่งให้แยกกันดูแล แต่ทางกฎหมายมีสิทธิ์ปกครองร่วมกันอยู่ ดังนั้นเวลที่เราจะทำอะไรเกี่ยวกับลูกชายต้องขออนุญาตเขา หรือให้เขารับทราบ ทางฝั่งเขาเวลาทำอะไรเกี่ยวกับลูกสาวก็ต้องให้เรารับทราบรับรู้ขออนุญาตเช่นกัน แต่ที่ผ่านมาตลอดคือมันไม่มีการจอยกันเลย มีแต่ต่างคนต่างอยู่ พอล่าสุดเราต้องการจะทำพาสปอตให้ธาเนีย ขอลายเซ็นจากบิดาแต่ไม่มีการยินยอมแบบดีๆ

เพราะอะไรถึงไม่ยอมมาเซ็นให้?

มิเกล : เขาให้เหตุผลว่ากลัวลูกจะไปติดโควิดสายพันธ์ต่างประเทศ แล้วในประเทศไม่มีหรอ มันเป็นแค่ข้ออ้าง เราไม่รู้หรอกว่าเหตุผลอะไร ระยะเวลาของการที่ยื้อ 9 เดือน มันคงเป็นเหตุผลส่วนตัว

จะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา?

มิเกล : ใช่ พอดีเราได้ตรวจ DNA ตอนก่อนแต่งงานเพื่อจะหาความเป็นพี่น้อง ปรากฏว่าผลมันบอกออกมาว่าเราเจอญาติเรา เจอพ่อเรา เราเลยคุยกับพ่อมาประมาณ 1 ปีแล้ว ตอนนี้คุณตาได้คุยกับหลานแล้ว ก็ถามว่าอยากมาเยี่ยมพวกเราไหม

9 เดือนที่รออะไรที่รับไม่ได้มากที่สุด?

มิเกล : ครอบครัวที่แยกกันอยู่แล้วมีลูกด้วย สิ่งสำคัญถ้าเราจะดำเนินอะไรเกี่ยวกับอนาคตของเด็กๆ เราควรที่จะคุยกันได้ ควรที่จะปรึกษากันได้ ต่อให้ไม่ชอบกันเกลียดกันแค่ไหนก็แล้วแต่ เราควรลดทิฐิลงเพื่อผลประโยชน์ของลูกเป็นหลัก เรารู้สึกแย่มาก และไม่โอเคกับการที่เราจะเดินชีวิตกับลูกต่อไปในอนาคต มันมีความรู้สึกเหมือนโดนรั้ง โดนเบรก มันสูญเสียเวลา สูญเสียโอกาสไป

สาเหตุที่ยื่นต่อศาลระงับการปกครองร่วม เพราะมีคำพูดเจ็บที่ตัดสินใจให้ทำแบบนั้น?

มิเกล : เราไม่มีเจ็บนะ เราไม่รู้สึกเจ็บเลย แต่เรามองว่ามันไม่มีเหตุผล ทุกอย่างที่เป็นมาตลอดคือพี่เป็นฝ่ายตามหาลูกสาว แต่จริงๆ คือตามกฏหมายพี่มีสิทธิในการปกครองอยู่ กลับกลายเป็นพี่ต้องไปตามหาเอาเอง ความจริงอยู่ตรงไหน ลูกอยู่ตรงไหน ทำอะไร อยู่กับใคร แต่พี่เองทำตามกฏหมายที่ศาลสั่งไว้ แต่เขากลับไม่ยินดี ตรงนี้ต่างหากที่รู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ถ้ามันตกลงกันไม่ได้ คุยกันไม่ได้ ก็แยกกันไปเลยดีกว่า ไม่ต้องมีกฏหมายเข้ามาอีกต่อไปนั่นคือความคิดของพี่

มีข่าวออกมาว่าขอตัดสิทธิ์?

มิเกล : พี่โพสต์ขึ้นเฟสบุ๊คหลายเดือนก่อน พี่ได้คุยกับลูกสาวครั้งสุดท้าย ที่พี่ไปตามหาเคขาแล้วเจอว่าเขาอยู่ไหน ได้คุยกับลูก เขาบอกมาว่าเขาต้องการเดินชีวิตของเขา เขาใช้คำพูดว่าเขาเป็นนางสาวแล้ว พี่ก็มองว่ามันมีเหตุผล เขาไม่ต้องการให้เราไปวุ่นวาย เพราะเขาถูกชุดข้อมูลจากใครไม่ทราบแหละ แต่เขาบอกว่ามันคือการคุกคาม การที่แม่ไปตามหาลูกว่าอยู่ตรงไหนมันเป็นการคุกคาม เรามองว่าเราไม่อยากเป็นบุคคลที่ไปคุกคามลูก มุมเราคือเรารักลูก เราอยากรู้ว่าลูกเราเป็นอย่างไร อีกมุมหนึ่งมันเป็นการไปคุกคามเขา เราเลยบอกว่าโอเคงั้นลาออก จะได้ไม่มีการคุกคามในสายตาใครอีกต่อไป

ยังรักและเป็นห่วง?

มิเกล : คือเป็นห่วง และก็รัก แต่ว่าต้องใช้เหตุผลในเรื่องของเคารพความเป็นมนุษย์ของเขาและของเราด้วย

เรียกว่าตัดแม่ตัดลูกเลยไหม?

มิเกล : มุมคนอื่นพี่ไม่รู้ แต่มุมพี่สายเลือดมันคงตัดไม่ได้ DNA พี่ก็อยู่ในตัวเขา แต่ชีวิตเขาเป็นคนเลือก

เสียใจไหม?

มิเกล : แน่นอน เคยร้องมาก่อนแล้ว มันเป็นความรู้สึกจุกอยู่ข้างในนะ กลั่นออกมายากมาก พี่มีนิสัยอยางหนึ่งที่คนอาจมองว่าไม่น่ารัก คือเวลาโกรธหันหลังกับอะไรพี่จะยื้อสุดๆ เลย แต่ถ้าพี่บอกว่าโอเคหยุดหันหลังแล้ว พี่หันหลังเลย พี่ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย พี่ให้ชีวิตเขา ตลอดระยะเวลาที่หย่า 7 ปี เขาไม่ได้ให้โอกาสพี่ในการที่จะได้ดูแลเขา ทั้งๆ ที่พี่พยายามหาโอกาสแล้ว พี่ว่าพี่ก็เดินมาสุดทางแล้วในฐานะที่เป็นแม่คนหนึ่ง ก่อนหน้านั้น 18 ปีพี่ก็ไปสุดทางในฐานะภรรยา เมื่อเขาไม่ต้องการพี่ก็ไม่อยากเป็นคนไร้ค่า เขาเลือก เราต้องเคารพในสิ่งที่เขาเลือกถ้าเรารักลูก นี่คือความรักในแบบพี่ พี่ไม่มีดราม่า เอาเหตุและผลอย่างเดียวเลย

ในทางกฎหมาย?

มิเกล : รอบนี้ศาลท่านก็น่ารัก มาขอเราในห้องบอกว่าผมขอได้ไหมว่าให้สิทธิ์การปกครองยังเป็นร่วมเหมือนเดิม แต่ว่าผมจะออกคำสั่งให้เขาเซ็นยินยอมต่อเอกสารทุกๆ อย่าง ผลประโยชน์ของเด็กสูงกว่าสิ่งใด ต่างคนต่างก็คุยกันไม่ได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ขอให้มีกฏหมายรองรับผลประโยชน์ของเด็กนั่นคือสิ่งที่ท่านขอ ตอนนี้ก็เลยมีคำสั่งออกมาว่าการปกครองรวมที่เราขอตัดยังคงกลับมาร่วม แต่สิ่งที่ได้มาคือเขาต้องยินยอมต่อสิ่งที่เราร้องขอในกรณีที่เกี่ยวกับลูกทุกอย่าง

รู้สึกอย่างไรบ้างกับเรื่องราวทั้งหมด ใช้วิธีไหนจัดการกับความรู้สึกตัวเอง?

ธาเนีย : บอกกับแม่บ้างครับว่ารู้สึกอย่างไร เวลาขึ้นศาลแต่ละครั้งรู้สึกงงด้วยว่าทำไมต้องเสียเงินขึ้นศาลแต่ละครั้งกับการที่แค่เซ็นครั้งเดียว ขึ้นศาลหลายครั้งจนผมจำไม่ได้ครับ จำได้ครั้งหนึ่งกำลังพูดอยู่จู่ๆ พ่อก็มาพูดว่า I will support you จริงๆ ถ้าซัพพอร์ตก็เซ็นตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับผม มามี๊ก็มาฟังด้วยก็มีทะเลาะกันนิดหนึ่งแล้วพ่อก็เดินหนู บอกว่าคุณเลี้ยงลูกเหมือนสัตว์

มิเกล : เขาอธิบายความรู้สึกแบบที่ผู้ใหญ่คุยกันแบบนี้น่าจะยากในวัย 13 มันดูสับสน เขาไม่แน่ใจว่าเขารู้สึกอะไร แต่ที่เขาเล่ามันเป็นเรื่องราวนะ แต่เขาไม่สามารถพูดได้ว่าเขารู้สึกอะไร

รู้สึกอย่างไรบ้างที่ต้องขึ้นศาลแบบนี้?

ธาเนีย : รู้สึกว่ามันยื้อเวลาเกินไปครับ เสียดายเวลาด้วยครับ

มิเกล : พี่ไม่เคยให้ลูกขึ้นศาลด้วย มีเฉพาะครั้งนี้ครั้งสุดท้ายที่ศาลตัดสิน เพราะคุณพ่อเขาร้องขอ อีกฝั่งหนึ่งเขาเอาลูกมาตลอด ขอเอาลูกเข้ามาได้ไหมว่าคำสั่งคืออะไร เขากลัวว่าเดี๋ยวจะเอาอะไรมาบิดเบือน เขากลัวพี่บิดเบือนคือเขาอยากให้ลูกรับทราบว่าเขาทำอะไรให้ เป็นครั้งเดียวที่ลูกเข้าไปในห้องที่เหลือคือยู่ข้างนอกตลอด แต่ออกมาพี่จะเล่าให้ฟังหมด

คุณพ่อเซ็นเอกสารแล้ว?

มิเกล : เซ็นแล้ว เหตุผลคือมันไม่ได้แค่ยินยอมพาไปที่ไหน เราต้องการลายเซ็นเพื่อจะทำพาสปอร์ตเท่านั้นเองนะมันไม่จำเป็นต้องใช้เวลา 9 เดือน ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจ้างทนาย ไม่จำเป็นต้องไปขึ้นศาลบ่อยครั้ง

สาเหตุที่ไม่เซ็นเพราะเขากลัวเอาลูกไปขาย?

มิเกล : ไม่รู้จะพูดอย่างไร พี่ได้ยินกับหูเลย ทุกครั้งที่ขึ้นศาลมีการดิสเครดิตเรา ในคำพูดที่เขาว่าอาจจะพาลูกไปขายได้ยินกับหู เราขำอ่ะ ถ้าเราขายไม่ต้องรอถึงอายุ 13 ไหม เราเลี้ยงลูกมา งานก็น้อยลง เพราะเราแก่แล้ว แต่เราเลี้ยงลูกให้ได้สมกับที่เด็กจะได้รับมาเสมอ ไม่เคยเอาลูกไปไว้กับใครคนอื่น ไม่เคยปล่อยให้ลูกอดอยาก บอกว่าเราเอาลูกไปขายมันเป็นความตลกในมุมมองเรา แต่ในมุมมองคนอื่นเราไม่ทราบ

หลายครอบครัวมีปัญหา อยากจะแชร์ประสบการณ์อะไร?

มิเกล : 2 มุม มุมยุคโบราณที่ทนๆ ไปเดี๋ยวก็ปรับตัวกันได้ หรือเอาน่าเวลาจะช่วยเยียวยา ส่วนตัวไม่เห็นด้วยอย่างที่โบราณบอก คนเราถ้าอยู่รวมกันแล้วเอามืดแทงกันทางความรู้สึกคำพูดเอย พฤติกรรมเอย เป็นสงครามเย็นในบ้าน  คนที่ได้รับผลเต็มๆ คือเด็กๆ ถ้ารู้ว่าอยู่ด้วยกันลำบากอย่าสร้างความกดดันให้กับเด็ก แยกกันแล้วเป็นเพื่อนกันซะ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายกับการแยกของครอบครัว แต่สิ่งที่ต้องทำคือผลประโยชน์ของลูกมาอันดับ 1 

บอกกับลูกอย่างไร?

มิเกล : บอกตรงๆ แต่เราไม่ได้บอกโดยใช้อารมณ์ บอกด้วยเรื่องราวเหตุของมัน ผลของมัน มีหลุดบ้าง แต่บอกว่านี่คือความรู้สึกของของเราเอง 

ธาเนีย : แบบแยกกันดีกว่าครับ เท่าที่ผมจำได้ตอนอยู่ด้วยกัน แม่กับพ่อทะเลาะกันบ้างเป็นบางครั้ง มีบรรยากาศมาคุหน่อย ตอนแยกออกมาก็มีความสุขดูแลกันดีได้

มิเกล : ตอนมีข่าวหย่า เวลามีนักข่าวมาสัมภาษณ์พี่บอกว่าหย่าเพื่อลูก เพราะถ้าอยู่ร่วมกันต่อพี่อาจจะฆ่าคนได้

จะไปเจอคุณพ่อคุณตาครั้งแรกที่อเมริกาจะไปเมื่อไร?

มิเกล : จริงๆ ควรได้ไปตั้งแต่ต้นปีแล้ว ถ้าไม่ติดเรื่องขึ้นศาล

ธาเนีย : ตื่นเต้นครับ อยากเจอคุณตาได้เห็นที่ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน คุณตาว่าเดี๋ยวจะได้ไปเจอหิมะตื่นเต้นแน่นอนอยากเห็น 2 อย่าง คุณตาและหิมะ

ลูกชายเพิ่งบวช?

มิเกล : ใช่เราเป็นคริสต์ เขาจะเข้ากันได้ดีกับจอม เขาก็จะคุยกันเรื่องบาปบุญคุณโทษ ความกตัญญู พอเขาเห็นเราเจอเรื่องเยอะ อยู่ๆก็เดินมาบอกว่าจะบวชนะอยากให้มามี๊หมดกรรม

ธาเนีย : น้าจอมสอนควรจะตอบแทนบุญคุณแม่ แม่กว่าจะคลอดเรามาเกือบจะตายแล้วหลายครั้ง บวชแล้วได้รู้บาปบุญคุณโทษที่ลึกซึ้งมากกว่าเดิม

45 วันที่ไปบวช ความเปลี่ยนแปลงของลูกคืออะไรบ้าง?

มิเกล : เดือนเมษาเราเดินทางไปอวยพรวันเกิดเขา แต่เราแตะตัวลูกไม่ได้ ก็ได้แต่มองหน้ากันเราได้เรียนรู้ในเรื่องของการฝึกตัดความรู้สึกตัวเองเวลาที่เรารักใครมากๆ ฝึกที่จะหยุดอยู่กับที่เพื่อเคารพในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ เป็นความภูมิใจ เรามีศานาพุธเป็นไกด์ในการดำเนินชีวิต แต่ความรัก และความศรัทธาอยู่ทางคริสเตียน เราเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน เป็นบุญของเราเป็นบุญของลูก