พิธีกร ชื่อดัง ได๋ ไดอาน่า เปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บโชว์ หลังทำเพจ เราต้องรอด ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด 19 เผยจิตตกหนัก เห็นคนตายต่อหน้านับ 10 จนเกือบเป็น โรคซึมเศร้า แถมควักเงินส่วนตัวเกือบ 10 ล้านบาท
บอกเลยคุณเป็นผู้เสียสละที่สุด?
ได๋ : ที่ผ่านมาเพื่อนๆ ในวงการสนับสนุนเราเยอะมาก ถ้าเกิดว่าดูใน ศูนย์พักคอย จะชี้ได้เลยกล้องวงจรปิดนี้มาจากพี่โดมกับเมทัล เตียงมาจากฮาน่า เตียงผู้ป่วยมาจากพุฒิ จุ๋ย ลิเดียส่งของเล่นมา เพื่อนๆ ทุกคนอยากช่วยนะแต่ลูกเล็กก็เลยส่งของมาช่วยแล้วกัน
จุดเริ่มต้นของการทำเพจ เราต้องรอด คืออะไร?
ได๋ : มันมาจาก จ๊ะ นงผณี เราสองคนช่วงไม่มีงานเราก็จะคุยกันตลอด แล้วจ๊ะก็บอกว่ามีคนส่งข้อความมาในไอจีบอกว่าติดโควิดทำอย่างไรดี เราช่วยเขากัน แล้วเราอยู่ในจุดที่เราช่วยได้ แล้วพอได้มาเคสแรก มันก็มาอีกเรื่อยๆ เราก็เลยคิดว่าเราทำเพจดีกว่าเพื่อจะได้เอาทุกข้อความในเพจ จะได้มีแอดมินมาช่วย เผื่อเวลาเราทำงานจะได้มีคนรับเคสได้ ตอนที่เปิดเพจคือวันที่ 25 เมษายน ช่วงนั้นสถานการณ์มันยังไม่กลายพันธุ์ ส่วนมากถ้ารอนานเกินไปเขาอาจจะเสียชีวิต ณ ตอนนั้นทุกการประสานทุกนาทีมันมีความหมาย และมีคุณค่ามาก ถ้าช้านิดเดียวมันจะไม่ทัน
ตอนนั้นที่ตัดสินใจเปิดเพจ ได๋ ไประดมทีมงานจากไหน?
ได๋ : ตอนนั้นไม่มีใครเลย มี ได๋ ผู้ช่วย ได๋ จ๊ะ แล้วผู้ช่วยจ๊ะคือพี่สาว ทำกัน 4 คน แล้วช่วยกันตอบ ตอบเสร็จแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็จดๆ ข้อมูลไว้ก่อนแล้วโทรหาคนนู้น คนนี่ แต่พอเราทำไปเรื่อยๆ จากแรกๆ เรามีคนติดต่อเข้ามาประมาณ 30 เคส เป็น 100 เคส 1,000 เคส มันก็ค่อยๆ หาคนมาเป็นแอดมิน แล้วก็มีนิหน่ามาช่วย นิหน่าเป็นผู้บริหาร เขาก็ช่วยจัดแจงคนมาเป็นอาสาในส่วนต่างๆ
เปิดเพจมาเกือบปีแล้ว จำได้ไหมว่าเราช่วยมากี่เคสแล้ว?
ได๋ : ตอนนี้น่าจะ 4 หมื่นราย แต่ว่า 4 หมื่นรายไม่ใช่ว่าเราช่วยเองทุกอย่าง เราก็ช่วยประสานงาน
เวลาอยู่กับเพื่อน เพื่อนบอกให้ปิดโทรศัพท์สักชั่วโมงหนึ่งได้ไหม เขาจะไม่ พอโทรศัพท์มาเขาจะลุกไปแล้ว?
ได๋ : อย่างที่เห็นอยู่วันนั้นไม่ได้เจอพี่เก๋มานานมากตั้งแต่เขาแต่งงาน แล้วนัดกันไปทานข้าวแล้วระหว่างทานข้าวก็บอกว่าพี่เก๋เด็ก 9 ขวบติดโควิด หนูต้องไปรับเขาเดี๋ยวนี้ พี่เก๋บอกทำอย่างไร พี่เก๋ก็ไปกับหนูแล้วก็ประสานไปด้วยในรถ แล้วไปรับน้องเพื่อไปรักษาที่ ศูนย์พักคอย ช่วงหลังๆ เลยไม่ค่อยนัดเพื่อนแล้ว เพราะรู้สึกเกรงใจเพื่อน
เหนื่อยไหม?
ได๋ : ต้องยอมรับว่าเหนื่อย แต่พอเราเห็นรอยยิ้มของเด็กๆ เห็นคนแก่เขาหายเราก็หายเหนื่อยไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม
เห็นทำเพจ เราต้องรอด แรกๆ ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน?
ได๋ : หนักขนาดที่ว่ามีคนเสียชีวิตในสายโทรศัพท์หรือวีดิโอคอลต่อหน้าเราวันละ 10-20 ราย คือวิธีการทำงานของเรา เราไม่ได้เป็นหมอ อาสาก็จะรายงานเข้ามาให้คุณหมอรู้ ซึ่งเราอยู่ในนั้นด้วย เราก็ช่วยประสาน แต่บางทีก็ไม่ทันเขาก็เสียชีวิต มันก็เลยหนัก
ช่วงนั้น ได๋ ร้องไห้ตลอดเลย?
ได๋ : ร้องตลอดเวลา แต่ว่ามันต้องปาดน้ำตาออกเวลาคนโทรเข้ามาเราต้องให้กำลังใจเขา แล้วเราก็ต้องห้ามอ่อนแอ เราต้องสู้ เพราะว่ามีคนที่เขาต้องการให้เราช่วย
เห็นเพื่อนๆ บอกว่า ถ้ามีใครเสียชีวิตระหว่างที่ ได๋ ช่วย ได๋ จะโทษตัวเองว่าเป็นความผิดของตัวเองเลย?
ได๋ : มันเคยมีอยู่เคสหนึ่งที่เราไปทำงาน แล้วเราก็วางโทรศัพท์ไว้ แล้วเราโทรกลับไป ญาติเขาบอกไม่ต้องโทรกลับมาแล้ว เขาตายแล้วคะ ความรู้สึกเราคือแบบ…หนูขอโทษ คือถ้าเราไม่ทำงาน เขาน่าจะมีชีวิตอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่เราโทษตัวเองทุกคืนว่าแบบทำงานทำไม ถ้าเราไม่ทำงานเขาจะรอด มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก ก็เลยเลือกที่จะไม่ทำงานดีกว่า ก็เลยไม่ทำเลย
ช่วงหนึ่งพี่ ได๋ ก็หยุดรับงานไปเลย?
ได๋ : เวลาที่ทุกรายการโทรหาให้ไปออก แม้กระทั่งทีมงานของที่นี่ก็มาแบบพูดได้ไหม ก็จะบอกกับทุกคนว่าประสานเคสอยู่ไม่สะดวกจริงๆ ทุกวินาทีมันมีคุณค่า
แล้วตอนนี้หลุดจากความรู้สึกนั้นหรือยัง?
ได๋ : ตอนนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราโทษตัวเองว่าแบบ คุณมีสิทธิ์อะไรที่มีชีวิตดีแบบนี้ คือโทษตัวเอง แบบทำไมตื่นมามีห้องเอง ทำไมมีเงิน ทำไมอยากได้อะไรก็สามารถซื้อได้ คุณมีสิทธิ์อะไรที่จะมีความสุขสบายขนาดนี้ ในเมื่อยังมีคนอื่นลำบากมากมายขนาดนี้ คุณเป็นใครเหรอ
ทำไมถึงคิดแบบนี้?
ได๋ : พอเรารับเคสเยอะๆ แล้วเด็กๆ เราต้องไปรับเอง นั่งอยู่ในรถคอยบอกคุณแม่ อยู่กับชาวบ้าน เราเห็นเลยว่าคนที่เขาไม่มี เขาไม่มีโอกาสที่จะมีลมหายใจต่อ แต่เราคือคนที่มีโอกาสเยอะมาก ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราต้องปรับตัวเองก็เลยใช้วิธีลบเหมือนเวลาที่เราทำการแสดง พอเราอินเสร็จเราคัทแล้วต้องเอ้าท์ออก ถ้าไม่เอ้าท์ออกน่าจะอยู่ไม่ได้ เพราะเราเอาใจไปผูกกับทุกคน เอาใจไปผูกกับคุณตา คุณยาย เราโทรคุยกับเขา เรารู้สึกแบบยายต้องสู้นะคะ แล้วพอวันที่ยายไม่รอดเราจะดิ่ง หรือทุกคนอะเราผูกใจไปกับเขาหมด
เห็นบอกว่าจิตตกมาก นอนไม่ได้เลย เพื่อนๆ รอบข้างคอยซัพพอร์ตอย่างไร?
ได๋ : ตอนนั้นพอหลับตาปุ๊บเราจะเห็นหน้ายาย จะเห็นหน้าศพทุกคนที่เราแบบทำไมคนนี้ช่วยไม่ได้ ทำไมคนนี้ไม่ทัน เราพลาดตรงไหน เพราะปกติเราทำงานเราจะกลับมาย้อนดูตัวเองเสมอว่าวันนี้เราพลาดตรงไหน เพื่อที่จะทำงานของตัวเองให้ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ณ ตอนนั้นเราโทษตัวเองตลอดเวลา และโชคดีมากที่ตอนนั้นนิหน่าอยู่กับเราตลอด บางทีก็โทรไปกรี๊ดใส่ ร้องไห้ใส่ แล้วแบบโอเคหายแล้ว ไปรับเคสก่อนนะ มันเป็นความรู้สึกที่ว่าพอมันดาวน์แล้วมันถมแล้วทับๆ กัน มันก็เลยเหมือนต้องเคลียร์ตัวเองทุกวัน
เห็นว่ามันคาบเกี่ยวกับคนที่จะเป็น โรคซึมเศร้า ?
ได๋ : ก็มีคนโทรมาหาเยอะมาก เพราะตอนนั้นที่มีคลิปไวรัล เหตุการณ์อย่างนั้นมันเกิดขึ้นตลอดเวลา ก็มีคุณหมอ เพื่อนๆ ที่เป็นจิตแพทย์โทรมาคุย เห้ย..ไม่ต้องห่วงเราโอเคเพราะเรารู้ตัวว่าเรากำลังจะดิ่งก็ดึงตัวเองกลับขึ้นมา ถามว่า ซึมเศร้า ไหมก็ไม่ ซึมเศร้า หรอก แค่เข้าใจและปลงว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เพียงว่าโควิดมันทำให้เราเห็นทุกอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าคนเราวันหนึ่งมันก็ต้องตาย มันทำให้เรารู้สึกว่าเราใช้ทุกนาทีให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น แล้วรักทุกคนมากยิ่งขึ้น พอช่วงเคสเบาลง แบบนี้ก็จะมีโทรไปขอโทษเพื่อนที่แบบวันนั้นกินข้าวแล้วเราไม่อยู่ตรงนั้น
แล้วคนรอบข้างเข้าใจไหมโดยเฉพาะแฟน?
ได๋ : เข้าใจค่ะ แล้วก็น่ารักมาก คือเขาให้อาหารเราทุกวัน เราเป็นคนชอบลืมกินข้าว เขาก็จะเป็นคนเอาอาหารมาวางให้ แต่ว่าเคยทะเละกัน เพราะว่าเขาไม่เคาะ บางทีเขาเอาอาหารมาวางเราไม่เห็น บางทีมันเย็นหมดแล้ว แล้วเขาก็โกรธทำไมไม่กิน เราก็บอกทำไมไม่บอก วันหลังเคาะดิ หลังๆ ก็มีเคาะจาน มาเขย่าตัวว่ามากินข้าว เราก็เลยบอกเขาว่าเราเหมือนทำบุญร่วมกัน โอเคๆ หนูช่วยคน พี่ช่วยหนู ก็ถือว่าพี่ทำบุญด้วย
แฟนพี่ ได๋ เป็นคนที่เข้าใจพี่ ได๋ มากที่สุด ที่คอยอยู่เคียงข้าง คอยสนับสนุน?
ได๋ : แฟนไม่เท่าไร คุณพ่อ คุณแม่มากกว่า คือปกติแม่จะตามไปกับเราทุกงานตั้งแต่เด็ก แต่นี่ปีกว่าแล้วที่ไม่ให้เขาไปไหนด้วยเลย แล้วไม่เข้าไปหาเขาที่บ้าน ช่วงที่รับเคสหนักๆ จำได้เลยวันเกิดตัวเองแม่เขาตุ๋นรังนกให้แล้วเอามาให้กิน แล้วเราต้องอยู่หน้าบ้าน เราไปช่วยเคสเราไม่รู้ว่าเรามีซากเชื้อติดผม ติดอะไรไหม ก็เลยไปจอดอยู่หน้าบ้าน แล้วแม่ก็เอารังนกมาให้กินในรถ เรากิน แล้วก็บ๊าย บาย นะ แม่เขาก็จะงอนนิดหน่อยเหมือนเราทิ้งเขาหรือเปล่า แต่จริงๆ เราเป็นห่วงเขา
บอกเลยคุณเป็นผู้เสียสละที่สุด?
ได๋ : ที่ผ่านมาเพื่อนๆ ในวงการสนับสนุนเราเยอะมาก ถ้าเกิดว่าดูใน ศูนย์พักคอย จะชี้ได้เลยกล้องวงจรปิดนี้มาจากพี่โดมกับเมทัล เตียงมาจากฮาน่า เตียงผู้ป่วยมาจากพุฒิ จุ๋ย ลิเดียส่งของเล่นมา เพื่อนๆ ทุกคนอยากช่วยนะแต่ลูกเล็กก็เลยส่งของมาช่วยแล้วกัน
จุดเริ่มต้นของการทำเพจ เราต้องรอด คืออะไร?
ได๋ : มันมาจาก จ๊ะ นงผณี เราสองคนช่วงไม่มีงานเราก็จะคุยกันตลอด แล้วจ๊ะก็บอกว่ามีคนส่งข้อความมาในไอจีบอกว่าติดโควิดทำอย่างไรดี เราช่วยเขากัน แล้วเราอยู่ในจุดที่เราช่วยได้ แล้วพอได้มาเคสแรก มันก็มาอีกเรื่อยๆ เราก็เลยคิดว่าเราทำเพจดีกว่าเพื่อจะได้เอาทุกข้อความในเพจ จะได้มีแอดมินมาช่วย เผื่อเวลาเราทำงานจะได้มีคนรับเคสได้ ตอนที่เปิดเพจคือวันที่ 25 เมษายน ช่วงนั้นสถานการณ์มันยังไม่กลายพันธุ์ ส่วนมากถ้ารอนานเกินไปเขาอาจจะเสียชีวิต ณ ตอนนั้นทุกการประสานทุกนาทีมันมีความหมาย และมีคุณค่ามาก ถ้าช้านิดเดียวมันจะไม่ทัน
ตอนนั้นที่ตัดสินใจเปิดเพจ ได๋ ไประดมทีมงานจากไหน?
ได๋ : ตอนนั้นไม่มีใครเลย มี ได๋ ผู้ช่วย ได๋ จ๊ะ แล้วผู้ช่วยจ๊ะคือพี่สาว ทำกัน 4 คน แล้วช่วยกันตอบ ตอบเสร็จแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็จดๆ ข้อมูลไว้ก่อนแล้วโทรหาคนนู้น คนนี่ แต่พอเราทำไปเรื่อยๆ จากแรกๆ เรามีคนติดต่อเข้ามาประมาณ 30 เคส เป็น 100 เคส 1,000 เคส มันก็ค่อยๆ หาคนมาเป็นแอดมิน แล้วก็มีนิหน่ามาช่วย นิหน่าเป็นผู้บริหาร เขาก็ช่วยจัดแจงคนมาเป็นอาสาในส่วนต่างๆ
เปิดเพจมาเกือบปีแล้ว จำได้ไหมว่าเราช่วยมากี่เคสแล้ว?
ได๋ : ตอนนี้น่าจะ 4 หมื่นราย แต่ว่า 4 หมื่นรายไม่ใช่ว่าเราช่วยเองทุกอย่าง เราก็ช่วยประสานงาน
เวลาอยู่กับเพื่อน เพื่อนบอกให้ปิดโทรศัพท์สักชั่วโมงหนึ่งได้ไหม เขาจะไม่ พอโทรศัพท์มาเขาจะลุกไปแล้ว?
ได๋ : อย่างที่เห็นอยู่วันนั้นไม่ได้เจอพี่เก๋มานานมากตั้งแต่เขาแต่งงาน แล้วนัดกันไปทานข้าวแล้วระหว่างทานข้าวก็บอกว่าพี่เก๋เด็ก 9 ขวบติดโควิด หนูต้องไปรับเขาเดี๋ยวนี้ พี่เก๋บอกทำอย่างไร พี่เก๋ก็ไปกับหนูแล้วก็ประสานไปด้วยในรถ แล้วไปรับน้องเพื่อไปรักษาที่ ศูนย์พักคอย ช่วงหลังๆ เลยไม่ค่อยนัดเพื่อนแล้ว เพราะรู้สึกเกรงใจเพื่อน
เหนื่อยไหม?
ได๋ : ต้องยอมรับว่าเหนื่อย แต่พอเราเห็นรอยยิ้มของเด็กๆ เห็นคนแก่เขาหายเราก็หายเหนื่อยไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม
เห็นทำเพจ เราต้องรอด แรกๆ ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน?
ได๋ : หนักขนาดที่ว่ามีคนเสียชีวิตในสายโทรศัพท์หรือวีดิโอคอลต่อหน้าเราวันละ 10-20 ราย คือวิธีการทำงานของเรา เราไม่ได้เป็นหมอ อาสาก็จะรายงานเข้ามาให้คุณหมอรู้ ซึ่งเราอยู่ในนั้นด้วย เราก็ช่วยประสาน แต่บางทีก็ไม่ทันเขาก็เสียชีวิต มันก็เลยหนัก
ช่วงนั้น ได๋ ร้องไห้ตลอดเลย?
ได๋ : ร้องตลอดเวลา แต่ว่ามันต้องปาดน้ำตาออกเวลาคนโทรเข้ามาเราต้องให้กำลังใจเขา แล้วเราก็ต้องห้ามอ่อนแอ เราต้องสู้ เพราะว่ามีคนที่เขาต้องการให้เราช่วย
เห็นเพื่อนๆ บอกว่า ถ้ามีใครเสียชีวิตระหว่างที่ ได๋ ช่วย ได๋ จะโทษตัวเองว่าเป็นความผิดของตัวเองเลย?
ได๋ : มันเคยมีอยู่เคสหนึ่งที่เราไปทำงาน แล้วเราก็วางโทรศัพท์ไว้ แล้วเราโทรกลับไป ญาติเขาบอกไม่ต้องโทรกลับมาแล้ว เขาตายแล้วคะ ความรู้สึกเราคือแบบ…หนูขอโทษ คือถ้าเราไม่ทำงาน เขาน่าจะมีชีวิตอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่เราโทษตัวเองทุกคืนว่าแบบทำงานทำไม ถ้าเราไม่ทำงานเขาจะรอด มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก ก็เลยเลือกที่จะไม่ทำงานดีกว่า ก็เลยไม่ทำเลย
ช่วงหนึ่งพี่ ได๋ ก็หยุดรับงานไปเลย?
ได๋ : เวลาที่ทุกรายการโทรหาให้ไปออก แม้กระทั่งทีมงานของที่นี่ก็มาแบบพูดได้ไหม ก็จะบอกกับทุกคนว่าประสานเคสอยู่ไม่สะดวกจริงๆ ทุกวินาทีมันมีคุณค่า
แล้วตอนนี้หลุดจากความรู้สึกนั้นหรือยัง?
ได๋ : ตอนนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราโทษตัวเองว่าแบบ คุณมีสิทธิ์อะไรที่มีชีวิตดีแบบนี้ คือโทษตัวเอง แบบทำไมตื่นมามีห้องเอง ทำไมมีเงิน ทำไมอยากได้อะไรก็สามารถซื้อได้ คุณมีสิทธิ์อะไรที่จะมีความสุขสบายขนาดนี้ ในเมื่อยังมีคนอื่นลำบากมากมายขนาดนี้ คุณเป็นใครเหรอ
ทำไมถึงคิดแบบนี้?
ได๋ : พอเรารับเคสเยอะๆ แล้วเด็กๆ เราต้องไปรับเอง นั่งอยู่ในรถคอยบอกคุณแม่ อยู่กับชาวบ้าน เราเห็นเลยว่าคนที่เขาไม่มี เขาไม่มีโอกาสที่จะมีลมหายใจต่อ แต่เราคือคนที่มีโอกาสเยอะมาก ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราต้องปรับตัวเองก็เลยใช้วิธีลบเหมือนเวลาที่เราทำการแสดง พอเราอินเสร็จเราคัทแล้วต้องเอ้าท์ออก ถ้าไม่เอ้าท์ออกน่าจะอยู่ไม่ได้ เพราะเราเอาใจไปผูกกับทุกคน เอาใจไปผูกกับคุณตา คุณยาย เราโทรคุยกับเขา เรารู้สึกแบบยายต้องสู้นะคะ แล้วพอวันที่ยายไม่รอดเราจะดิ่ง หรือทุกคนอะเราผูกใจไปกับเขาหมด
เห็นบอกว่าจิตตกมาก นอนไม่ได้เลย เพื่อนๆ รอบข้างคอยซัพพอร์ตอย่างไร?
ได๋ : ตอนนั้นพอหลับตาปุ๊บเราจะเห็นหน้ายาย จะเห็นหน้าศพทุกคนที่เราแบบทำไมคนนี้ช่วยไม่ได้ ทำไมคนนี้ไม่ทัน เราพลาดตรงไหน เพราะปกติเราทำงานเราจะกลับมาย้อนดูตัวเองเสมอว่าวันนี้เราพลาดตรงไหน เพื่อที่จะทำงานของตัวเองให้ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ณ ตอนนั้นเราโทษตัวเองตลอดเวลา และโชคดีมากที่ตอนนั้นนิหน่าอยู่กับเราตลอด บางทีก็โทรไปกรี๊ดใส่ ร้องไห้ใส่ แล้วแบบโอเคหายแล้ว ไปรับเคสก่อนนะ มันเป็นความรู้สึกที่ว่าพอมันดาวน์แล้วมันถมแล้วทับๆ กัน มันก็เลยเหมือนต้องเคลียร์ตัวเองทุกวัน
เห็นว่ามันคาบเกี่ยวกับคนที่จะเป็น โรคซึมเศร้า ?
ได๋ : ก็มีคนโทรมาหาเยอะมาก เพราะตอนนั้นที่มีคลิปไวรัล เหตุการณ์อย่างนั้นมันเกิดขึ้นตลอดเวลา ก็มีคุณหมอ เพื่อนๆ ที่เป็นจิตแพทย์โทรมาคุย เห้ย..ไม่ต้องห่วงเราโอเคเพราะเรารู้ตัวว่าเรากำลังจะดิ่งก็ดึงตัวเองกลับขึ้นมา ถามว่า ซึมเศร้า ไหมก็ไม่ ซึมเศร้า หรอก แค่เข้าใจและปลงว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เพียงว่าโควิดมันทำให้เราเห็นทุกอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าคนเราวันหนึ่งมันก็ต้องตาย มันทำให้เรารู้สึกว่าเราใช้ทุกนาทีให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น แล้วรักทุกคนมากยิ่งขึ้น พอช่วงเคสเบาลง แบบนี้ก็จะมีโทรไปขอโทษเพื่อนที่แบบวันนั้นกินข้าวแล้วเราไม่อยู่ตรงนั้น
แล้วคนรอบข้างเข้าใจไหมโดยเฉพาะแฟน?
ได๋ : เข้าใจค่ะ แล้วก็น่ารักมาก คือเขาให้อาหารเราทุกวัน เราเป็นคนชอบลืมกินข้าว เขาก็จะเป็นคนเอาอาหารมาวางให้ แต่ว่าเคยทะเละกัน เพราะว่าเขาไม่เคาะ บางทีเขาเอาอาหารมาวางเราไม่เห็น บางทีมันเย็นหมดแล้ว แล้วเขาก็โกรธทำไมไม่กิน เราก็บอกทำไมไม่บอก วันหลังเคาะดิ หลังๆ ก็มีเคาะจาน มาเขย่าตัวว่ามากินข้าว เราก็เลยบอกเขาว่าเราเหมือนทำบุญร่วมกัน โอเคๆ หนูช่วยคน พี่ช่วยหนู ก็ถือว่าพี่ทำบุญด้วย
แฟนพี่ ได๋ เป็นคนที่เข้าใจพี่ ได๋ มากที่สุด ที่คอยอยู่เคียงข้าง คอยสนับสนุน?
ได๋ : แฟนไม่เท่าไร คุณพ่อ คุณแม่มากกว่า คือปกติแม่จะตามไปกับเราทุกงานตั้งแต่เด็ก แต่นี่ปีกว่าแล้วที่ไม่ให้เขาไปไหนด้วยเลย แล้วไม่เข้าไปหาเขาที่บ้าน ช่วงที่รับเคสหนักๆ จำได้เลยวันเกิดตัวเองแม่เขาตุ๋นรังนกให้แล้วเอามาให้กิน แล้วเราต้องอยู่หน้าบ้าน เราไปช่วยเคสเราไม่รู้ว่าเรามีซากเชื้อติดผม ติดอะไรไหม ก็เลยไปจอดอยู่หน้าบ้าน แล้วแม่ก็เอารังนกมาให้กินในรถ เรากิน แล้วก็บ๊าย บาย นะ แม่เขาก็จะงอนนิดหน่อยเหมือนเราทิ้งเขาหรือเปล่า แต่จริงๆ เราเป็นห่วงเขา
มีอยู่คำหนึ่งที่บอกว่า เอาหน้าสุดฤทธิ์กับโควิด ?
ได๋ : เอาเป็นว่าคนที่ื เอาหน้าสุดฤทธิ์กับโควิด เขาจะรู้เองว่าเราพูดถึงใคร