แทบจะไม่เชื่อสายตา ถ้าไม่ได้เข้าไปเห็นมากับตาตัวเองเดินฝ่าดงระเบิด ! ไปกลับ 6 กิโลเมตร พร้อมกับเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย ต่างเห็นภาพนี้แล้วบอกว่า มันน่าเศร้าใจมากทรัพยากรของชาติไทย ถูกทำลายจากฝีมือมนุษย์โลภ จนไม่เห็นความสำคัญของของผืนป่า ใครกันนะ ? มันช่างใจร้ายเหลือเกิน
วันนี้ ( 14 พฤศจิกายน 2563 ) ทีมข่าวอีจันเกาะติดปฎิบัติการของเจ้าหน้าที่กองกำลังผสมเกือบ 100 นาย ซึ่งประกอบด้วย เจ้าหน้าที่สํานักบริหารอนุรักษ์ที่ 9 ( อุบลราชธานี ) เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยศาลา ทหารชุดเฉพาะกิจที่ 3 กองกำลังสุรนารี และกองกําลังอาสารักษาดินแดน หรือ อส. อำเภอภูสิงห์ นำกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่ป่าติดชายแดนไทย – กัมพูชา บริเวณช่องตามี กับ ช่อง หลังได้รายงานจากชุดลาดตระเวน “ สมาร์ทพาโทรล ” ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยศาลา ว่า พบกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย เข้ามาลักลอบตัดไม้ป่าหวงห้ามในบริเวณดังกล่าว
ปฏิบัติการครั้งนี้นำโดย นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 ( อุบลราชธานี ) ประสานขอกำลังทหารชุดเฉพาะกิจที่ 3 กองกำลังสุรนารี เพื่อรักษาความปลอดภัยเนื่องจากเป็นพื้นที่อันตราย ซึ่งก่อนหน้ามีการปะทะกันระหว่งป่าไม้กับทหารกัมพูชา
การเดินทางเข้าพื้นที่ต้องนั่งรถเข้าไปในที่เส้นทางยากลำบากประมาณ 1 ชั่วโมง และต้องเดินเท้าเข้าไปอีก 3 กิโลเมตร ผ่านสนามทุ่นระเบิดที่เกิดมีการสู้รบในอดีต ระหว่างทางทหารชุดเฉพาะกิจที่ 3 ตรวจพบทุ่นระเบิดแนวเส้นทางเดิน และต้องระวังการปะทะกันกับกองกำลังติดอาวุธที่ไม่ทราบฝ่ายในบริเวณนั้น
จุดแรกพบความเสียหาย ต้นไม้ตะเคียนทองขนาดใหญ่ ถูกตัดด้วยเลื่อยยนต์ มีร่องรอยการแปรรูปไม้ตะเคียนเป็นแผ่นในบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งจากการตรวจพบว่ามีการนำไม้ที่แปรรูปได้ออกจากนอกพื้นที่ไปแล้ว นอกจากนี้ยังพบก้นบุหรี่ และกระป๋องเครื่องดื่มชูกำลังมีอักษรข้อความภาษาต่างประเทศ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เดินสำรวจในเส้นทางไปเรื่อยๆ พบต้นไม้ตะเคียนทอง และต้นไม้กระบาก แต่ละต้นมีขนาดใหญ่อายุไม่ต่ำกว่า 200 ปีขึ้นไป จำนวน 69 ต้น บางต้นมีการตัดให้โค่นเพื่อรอการแปรรูป ส่วนก็มีการนำไม้ที่แปรรูปได้ออกนอกพื้นที่แล้ว
นายชัยวัฒน์ ได้เข้าไปทำหน้าที่เจรจากับทหารฝั่งของกัมพูชา ที่อ้างว่าชื่อร้อยเอกเดือนพร บอกว่าตัวเองกับลูกน้อง ได้เดินลาดตระเวนแล้วได้ยินเสียงคนจำนวนมากจึงเข้าตรวจสอบตามหน้าที่
นายชัยวัฒน์ ได้สอบถาม ร้อยเอกเดือนพร ว่า ทราบหรือไม่ใครเป็นคนเข้ามาตัดไม้ในบริเวณนี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อน ทั้ง 2 ฝ่าย ต้องช่วยกันดูแลรักษาป่าไม้เอาไว้ ตามสนธิสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้
ร้อยเอกเดือนพร ให้ข้อมูลว่าเป็นชาวบ้านของกัมพูชา ที่ขึ้นมาตัดไม้ แล้วนำไม้ผ่านลงไปใกล้กับฐานทหารกัมพูชา ซึ่งในช่วงโรคโควิดระบาด ทำให้ชาวบ้านไม่มีรายได้ จึงเข้ามาตัดไม้ไปขายให้กับบ่อนคาสิโน ช่องสะงำ และไม้บางส่วนชาวบ้านได้นำไปสร้างบ้าน ซึ่งทหารของกัมพูชา ก็ยายามไม่ให้ชาวบ้านขึ้นมาตัดไม้ในบริเวณนี้
หลังจากเจรจาเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาได้ถ่ายรูปร่วมกัน ก่อนทหารกัมพูชาจะนำกำลังกลับออกไป โดยไม่มีเหตุปะทะเกิดขึ้น ก่อนเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะแยกย้ายไปทำหน้าที่