หลังจากที่ประเทศไทย ต่อสู้กับไวรัสโควิด มาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ผ่านมาถึง 4 ระลอก ความรุนแรงแตกต่างกันออกไป สายพันธุ์ของเชื้อก็เปลี่ยนแปลงและกลายพันธุ์มาตลอด สายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) สายพันธุ์อัลฟ่า (อังกฤษ) และสายพันธุ์ล่าสุด สายพันธุ์เบต้า (แอฟริกาใต้) หรือก็คือ โอมิครอน ในปัจจุบัน และเป็นสาเหตุหลักในการผลักประเทศไทย เข้าสู่การระบาดในระลอกที่ 5 จนได้ จากการประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 5 ม.ค.65 ที่ผ่านมา เพราะในช่วงก่อนถึงเทศกาลปีใหม่ ก็มีความกังวลจากหลายๆฝ่าย ถึงตัวเลขของผู้ติดเชื้อ ที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งในช่วงเทศกาลปีใหม่ ก็มีผู้คนเดินทางข้ามจังหวัดกันตลอดช่วงวันหยุดยาว มีการเลี้ยงฉลองไปกับเทศกาลปีใหม่ พร้อมหน้ากันในครอบครัวหรือในกลุ่มเพื่อน แม้จะมีการป้องกันตัวที่ดี แต่เจ้า โอมิครอน นั้น ประสิทธิภาพในการแพร่ระบาดน่ากลัวกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้มากนัก แม้ว่าอาการจะยังไม่ปรากฎความรุนแรงเท่ากับสายพันธุ์เดลต้า หรือสายพันธุ์อื่นๆ แต่เป็นเรื่องน่าเสียใจ ที่ยังมีผู้เสียชีวิตเพราะติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้น โดยนับตั้งแต่วันที่ประเทศไทย เข้าสู่ระลอก 5 ของการระบาด มาจนถึงวันนี้ (9 ม.ค. 65) มีตัวเลขผู้ที่ติดเชื้อเพิ่มรวม 33,974 ราย เสียชีวิตรวม 75 ราย (ตัวเลขระหว่างวันที่ 5-9 ม.ค. 65) ทำให้รัฐบาล ต้องประกาศพื้นที่เสี่ยง ที่ต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาด เพิ่มมากขึ้นเป็น 69 จังหวัด ทั่วประเทศ และปรับมาตรการต่างๆเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด รวมทั้งเน้นย้ำการฉีดวัคซีน ในทุกช่วงอายุ และทุกพื้นที่
แม้ว่าในตอนนี้ คนไทยที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 แล้ว จะมีจำนวนกว่า 7,500,00 คน แต่ยังถือว่าน่าเป็นห่วง ถ้าเทียบสัดส่วนกับทั้งประเทศ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเอง ก็พยายามที่จะรณรงค์ให้คนออกมาฉีดวัคซีนกันให้ครบ 3 เข็ม และหาวัคซีนเข้ามารองรับ ทั้งการจัดซื้อ และขอความร่วมมือจากประเทศต่างๆ ในการจัดส่งวัคซีนเข้ามา รวมถึงการพัฒนายารักษา เพื่อนำมาใช้ภายในประเทศ ก็ยังหวังว่า สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสในประเทศจะดีขึ้นเสียที ประเทศไทยจะได้เริ่มเดินหน้ากันต่อ และประชาชนจะได้ลืมตาอ้าปากกันได้เสียที
คลิปอีจันแนะนำ
ลุงขากะเผลก ยังพุ่งมาเฉี่ยว!