จับตา! โอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 ทำให้เกิดการระบาดทั่วโลก

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ จับตา โอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 หวั่นทำให้เกิดการระบาดทั่วโลก

วันนี้ (21 มี.ค.66) ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics เกี่ยวกับ โอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 ที่มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด เหนือกว่าโอมิครอนลูกผสม XBB.1.5 ถึง 159% โดยระบุว่า…

ผู้เชี่ยวชาญอินเดียแถลงโควิดสายพันธุ์ลูกผสม “XBB.1.16” ไม่น่าจะก่อให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ขึ้นภายในประเทศ โดยผู้เชี่ยวชาญอินเดียเชื่อว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงระหว่างสองฤดูกาล และทันทีที่ฤดูร้อนและอากาศที่อบอ้าวเข้ามาเยือน หวังว่าจำนวนการระบาดจะลดลง

ดร.ราหุล บัณฑิต ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะทำงานเฉพาะกิจโควิดและประธาน Critical Care, Sir H.N. Reliance Foundation Hospital กล่าวกับสื่อในอินเดียว่า ตอนนี้โควิดก็เหมือนกับไข้หวัดทั่วไป ไม่มีการรักษาตัวในโรงพยาบาล ไม่มีการเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู และไม่มีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การตรวจหาเชื้อไวรัสด้วย ATK หรือ RT-PCR ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่ดี ณ ขณะนี้ เพราะ “โควิด-19 ที่อินเดียได้กลายเป็นโรคเฉพาะถิ่นไปแล้ว” ผู้คนมีเชื้อโรคมากมายในลำคอ ดังนั้นการทดสอบจะเห็นทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้เสมอ ตัวเลขเหล่านี้สามารถเพิ่มระดับความตื่นตระหนกได้ทุกเวลา

จากข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญอินเดียด้านการถอดรหัสพันธุกรรมจีโนมพบผู้ติดเชื้อโควิดในระยะนี้เกิดขึ้นจากโอมิครอนลูกผสม สายพันธุ์ใหม่ XBB.1.5 และ XBB 1.16

การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet Infectious Diseases แสดงให้เห็นว่าโอมิครอน XBB.1.5 มีความสามารถในการแพร่เชื้อและการติดเชื้อสูง โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตเกียวในญี่ปุ่น พบว่า ผู้ที่ติดเชื้อ XBB.1.5 สามารถแพร่เชื้อในกลุ่มประชากรมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อ XBB.1 ถึง 1.2 เท่า

ขณะที่ ศูนย์จีโนมฯ รพ. รามาธิบดี ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID” ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า โอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) เหนือกว่าโอมิครอนลูกผสม XBB.1.5 ถึง 159% จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญในหลายประเทศส่วนหนึ่งเชื่อว่า XBB.1.5 หรือ XBB.1.16 มี “ศักยภาพในการทำให้เกิดการระบาดทั่วโลก (Pandemic) ครั้งต่อไป”

ทว่าผู้เชี่ยวชาญของอินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีโอมิครอน XBB.1.16 ระบาดมากที่สุดในโลกกลับเห็นตรงข้าม ด้วยเหตุผลดังนี้

• ไม่น่าจะเรียกว่านี่คือการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ในอินเดียเนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการรุนแรง และสามารถฟื้นตัวได้เองภายในวันที่ 5 และในวันที่ 7 พวกเขาแทบไม่แสดงอาการใดๆ เลย

• โควิดเป็นเหมือนไข้หวัดมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว ไม่เคยมีการระบาดระลอกใหม่ที่รุนแรงกว่าไข้หวัด

• การที่เรายังคงนับจำนวนผู้ติดเชื้อและรายงานผลออกไปกลับจะเพิ่มระดับความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน

• เราควรหยุดรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อแต่ละวัน และ “มูฟออน” เพียงแต่เฝ้าระวังว่ามีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจำนวนเท่าไรและมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นหรือไม่ ปฏิบัติให้เหมือนกับการเฝ้าระวังไข้หวัดธรรมดาทั่วไป

ในขณะเดียวกัน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้เปิดเผยการศึกษาล่าสุดพบว่า วัคซีนและวัคซีนเข็มกระตุ้นต่อโควิด-19 นั้นมีประสิทธิภาพในการต่อต้านโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยลูกผสม XBB, XBB.1.5, และ XBB.1.16 ได้ดีแม้ว่าหัวเชื้อที่ใช้ผลิตยังจะใช้เป็นโอมิครอน BA.2, BA.4, หรือ BA.5 ก็ตาม

ทางการอินเดียแถลงว่าประมาณร้อยละ 80-90 ของประชากรทั้งหมดมีภูมิคุ้มกันต่อโควิด-19 ที่ดี ทั้งจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ และการได้รับจากการฉีดวัคซีน

สิ่งสำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญของอินเดียได้เรียกร้องคือให้ดำเนินการต่อไปอย่างเข้มข้นคือ “ถอดลำดับพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัส SARS-CoV-2 เพื่อตรวจสอบสายพันธุ์ใหม่ที่มีการกลายพันธุ์ออกไป เช่น ในกรณีของ XBB.1.16 และควรจับตาการติดเชื้อผู้สูงอายุและผู้ที่ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอันเป็นกลุ่มเปราะบางอย่างใกล้ชิด

การตรวจสอบสายพันธุ์ใหม่และการเฝ้าระวังกลุ่มเปราะบางนี้จะช่วยให้เราสามารถติดตามและป้องกันการระบาดของโควิด-19 ได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมและการรับวัคซีนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ทั้งในประเทศอินเดียและทั่วโลก

โควิด-19 แม้จะเป็นโรคประจำถิ่นไปแล้ว แต่การติดตามข้อมูลเพื่อให้รู้เท่าทันเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์อย่างไม่หยุดนิ่งยังเป็นสิ่งที่จำเป็น

คลิปอีจันแนะนำ
นาทีชีวิต พลังซูม 100 เท่า ช่วยชีวิตหนุ่มตกเจ็ทสกี