21 พฤษภาคม 2557
วันที่น้องพลอยหายตัวไป
พลอยนรินทร์ ผลิผล เด็กสาววัย 24 ปี สาวโรงงานในอ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา หายตัวไปในคืนวันที่ 21 พฤษภาคม 2557
น้องพลอยหาย ไร้ร่องรอย เกิดอะไรขึ้นกับเธอ
วันรุ่งขึ้น แม่น้องพลอยได้รับโทรศัพท์ จากแฟนเก่าของลูกสาวถามเรื่องที่พลอยหายตัวไป
มันโทรมาถามได้ข่าวว่า น้องหายเหรอ ผมรู้จากเพื่อน เพื่อนโทรบอกรู้จากเฟซบุ๊ก เพราะวันนั้นกระจายข่าวแล้ว ก็บอกว่า อืม… น้องหาย เอาน้องไปหรือเปล่า มันบอกเปล่า ผมจะเอามาทำไม ผมย้ายแล้ว
ผมก็มีครอบครัวแล้ว มาขอ คือแม่ไม่ยกให้ผม เขาพูดคำนี้ แม่เลยว่า ถ้าเกิดได้ข่าวน้องบอกแม่บ้างนะ เขาบอกครับๆ
นี่แหละ แม่เลย ไม่ได้ติดใจอะไรเลย คิดว่ามันโทรมา มันห่วง
แม่ไม่เคยคิดเลยว่า ในนาทีนั้นผู้ชายคนนี้ได้ฆ่าลูกสาวของเธอไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน
3 ปีแห่งการรอคอย วันที่ลูกสาวได้กลับบ้าน
ทุกวันที่ลูกสาวหายไป แม่พยายามตามหาทุกเบาะแส ทุกแห่งหน
ข้อมูลสุดท้ายที่ตำรวจพบ ทำให้เธอมั่นใจว่า การหายตัวไปของน้องพลอยต้องเป็นผีมือของชายคนนี้
เมื่อน้องพลอยไม่ตกลง สถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยน แม่บอกมันก็บุกเข้าไปในบ้าน ไปทำร้ายน้องในบ้านแม่ ซึ่งมีคนมาบอกแม่ แม่ก็ขับรถเข้าไปห้าม บอกถ้ามึงไม่ไป กูจะแจ้งตำรวจ มันก็ไป
จากคนรักกลายเป็นคนร้าย แล้วคนในซอยก็เห็นว่ามันขับรถตื้อน้อง จะเอาน้องขึ้นรถให้ได้ เขาเล่าให้ฟัง น้องก็ไม่ขึ้น และรุนแรงถึงขั้นขู่ฆ่า
2 ทุ่ม 8 นาที ผ่านหน้า โรงงานที่น้องพลอยทำงาน
2 ทุ่ม 10 นาที เห็นน้องพลอย ปั่นจักรยานออกจากโรงงาน
2 ทุ่ม 18 นาที รถต้องสงสัย มุ่งหน้าไปทางโรงปูนท่าหลวง
2 ทุ่ม 28 นาที ผ่านแยกพุกร่าง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี
ปัญหาคือ เห็นแต่รถไม่เห็นคน เมื่อสืบหารถพบรถคันดังกล่าวถูกขายที่เต็นท์รถ หลังน้องพลอยหายไปได้เพียง 4 วัน
ก็ไม่รู้สินะ มันตอบอย่างนี้ แล้วมันก็ตัดสายทิ้ง
“ไม่รู้สินะ” เป็นคำพูดสุดท้าย ที่แม่ได้ยินจากปากชายผู้นี้
จากนั้น คดีก็ตันเพียงเท่านี้
คือ มันทำอะไรไว้มันไม่ทิ้งร่องรอย มันก็ตันๆๆๆ คำว่าตัน คือ มันไม่ทิ้งร่องรอย แม่พูดอย่างอึดอัดใจ
จากนั้นศาลทหารออกหมายจับ สิบตำรวจพลกฤต วิเศษ ในข้อหาพรากผู้อื่นไป ซึ่งการอนาจารและกักขังหน่วงเหนี่ยว
ต่อมาสิบตำรวจพลกฤต วิเศษ ถูกให้ออกจากราชการ เนื่องจากไม่มาทำงานและก็หายตัว ไปนับแต่บัดนั้น ในขณะที่คนร้ายหายเข้ากลีบเมฆ แม่ผู้ไม่ยอมแพ้ก็เดินหน้าร้องทุกข์ขอให้ มีคนช่วยติดตามหาลูกสาว ที่เธอมั่นใจอยู่ทุกวัน ว่ายังคงมีชีวิตอยู่
นางพัชรี ปั้นทอง แม่ของน้องพลอย ดิ้นรนตามหาลูกไปทุกที่ที่คิดว่าคนร้ายจะพาไปหลบซ่อน
แต่ตลอด 3 ปี ไม่มีเบาะแส ..
จนกระทั่ง เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2560 เธอได้รับความช่วยเหลือจากทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ทนายรณณรงค์ พาเธอเข้าร้องเรียนศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ช่วยติดตามคดี เนื่องจากผู้ต้องหามีบิดาเป็นนายทหารยศใหญ่
ขณะที่มีกำลังตำรวจทหารเฝ้าปิดล้อมปรากฏว่าผู้ต้องหา ไหวทันวิ่งหนีเข้าป่าอ้อยจนต้องส่ง เฮลิคอปเตอร์บินไล่ล่ากดดัน แต่…ไม่พบตัว
ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายพลกฤตได้ให้ญาติติดต่อเข้ามอบตัวกับทหารในพื้นที่ โดยมีเงื่อนไขขอให้ตำรวจที่เฝ้าอยู่ในพื้นที่ ถอนกำลังออกไปให้หมด
ต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารรับมอบตัวนายพลกฤตบริเวณชายป่าอ้อยใกล้บ้านภรรยาผู้ต้องหา และนำตัวไป ควบคุมไว้ ที่กองพันทหารราบที่ 23 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ กองทัพภาคที่ 2 จ.นครราชสีมา ก่อนที่ทหาร ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 1 และชุดสืบสวนจากกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัด พระนครศรีอยุธยา จะร่วมกันสอบปากคำ
ผู้ต้องหาสารภาพว่า ฆ่าน้องพลอยตั้งแต่วันแรกที่อุ้มเธอขึ้นรถ
และเผาอำพรางศพของเธอ ที่ อำเภอแก่งคอย จ.สระบุรี แต่จำไม่ได้ว่าตรงไหนแน่
การเริ่มค้นหาศพ จึงเริ่มมีความหวัง
มีคนแจ้งคนหายในย่าน อำเภอแแก่งคอย อาสากู้ภัยป่อเต็กตึ๊ง แก่งคอยเดินค้นหาที่ ป่าข้างทางแห่งนี้ และพบโครงกระดูกถูกเผาเข้า โดยบังเอิญ ก็พบเศษยาง เศษกระดูก และเหล็กดัดฟัน
เข็มขัดเป็น สี่เหลี่ยมไหม” เมื่อแม่ยืนยัน ในที่สุด การเดินทางตามหาลูกสาวยาวนานถึง 3 ปี ก็สิ้นสุดลง ตำรวจและแม่พบน้องพลอยแล้ว เธอถูกฆ่าเผาอำพรางในป่าข้างทางบริเวณเชิงเขากบฏ ถนนบริเวณถนนสายแก่งคอย-แสลงพัน หมู่ 2 ต.หินซ้อน อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เมื่อ 3 ปีก่อนวันสังหาร…น้องพลอย จากคำสารภาพของ “เอส” วันที่ 21 พฤษภาคม 2557 เอสพาตัวพลอยขึ้นรถเก๋งสีดำ นำรถจักรยานที่น้องพลอยขี่มาจากโรงงานใส่หลังรถ เอสอ้างว่า ได้บอก ให้พลอยหนีตามไป กับตน แต่…พลอยไม่ยอม ระหว่างนั้น…แม่น้องพลอยโทรตามหลายครั้ง เอสโมโห จึงโยนโทรศัพท์ของพลอยทิ้ง ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันรุนแรง พลอยใช้มีดพับเล็กที่ติดอยู่กับกรรไกรตัดเล็บแทง เอส ที่แขน เอส ยิ่งโกรธตบตีพลอยอย่างรุนแรง และ บีบคอจนพลอย…ถึงแก่ความตาย
วิ่งถนนพหลโยธินเข้าอำเภอเมืองลพบุรี ผ่านแยกเอราวัณ วิ่งตามถนนสายคันคลองมุ่งหน้าอำเภอโคกกระเทียม นำจักรยานของผู้ตายทิ้งตรงสะพานข้ามคลองชลประทานที่ 23 แล้วเลี้ยวขวาออกไปยังศูนย์การทหารปืนใหญ่ ค่ายพหลโยธินอ.เมือง จ.ลพบุรี แล้วนำกระเป๋าทรัพย์สินของผู้ตายไปทิ้งถังขยะ ส่วนนาฬิกาข้อมือของผู้ตายได้โยนทิ้งข้างทาง ต่อมาเอส กลับเข้าไป บ้านพักของพ่อในศูนย์การทหารปืนใหญ่ ค่ายพหลโยธิน อ.เมือง จ.ลพบุรี นำยางรถยนต์ที่ใช้แล้วซึ่งวางอยู่หน้าบ้านพัก จำนวน 3 เส้นขึ้นท้ายรถ ขับรถออกมาจากค่ายซื้อน้ำมันดีเซลใส่แกลลอน 2 แกลลอน มุ่งหน้าไปอำเภอแก่งคอย เอส..จำได้ว่านำศพไปเผาทิ้ง ตรงทางขึ้นเขากบฏเลยศาลข้างทางประมาณ 600 เมตร